วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

Epilepsy Art Therapy : 2016 Yoga Illustration Epilepsy Art Therapy ©Panupon Sukhsri 2559 ศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ ©ภาณุภณ สุขศรี Media Visual Art Paint Illustration

๏#epilepsyartist#epilepsyart#arttherapy#epilepsyarttherapy#てんかんアートセラピー#ศิลปะบำบัดลมชักฯ

โครงการศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้© ภาณุภณ อภิวัฒน์ สุขศรี



© ภาณุภณ อภิวัฒน์ สุขศรี
© Panupon Apiwat Sukhsri

โครงการ ศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy   ได้รับแรงบัลดาลใจจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องศิลปะบำบัด โดยศึกษาและค้นคว้าจิตวิทยาของผู้ป่วยโดยตรงโรคลมชัก  เป็น โรคที่ใช้ระบุในครั้งนี้โดยค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลรูปภาพจากหนังสือฤาษีดัดตนนวดแผนไทยตำหรับวัดโพธิ์ เพื่อนำมาประยุกต์และดัดแปลงทดลองสร้างจิตรกรรมสื่อภาพประกอบเป็นลวดลายแบบฉบับตนเอง จากนั้นข้อมูลของงานศิลปะจากศิลปินที่ส่งอิทธิพลทางความคิด ทั้งข้อมูลของศิลปินต่างชาติชื่อดังที่ป่วยลมชัก และศิลปินสมัยใหม่ ทั้งจากประเทศไทยและจากต่างประเทศ มาทดลองสร้างสรรค์ภาพประกอบ และ สื่อผสม ดำเนินโครงการสร้างสรรค์ จากสีคุณภาพระดับกลาง หลากหลายอุปกรณ์เครื่องเขียน ราคาถูก เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของผู้ป่วยหากรับชมและต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบำบัดเช่นเดียวกัน


YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy has been inspired by the art of healing. Study and research the psychology of patients directly. Epilepsy is a disease identified by this time, by researching and collecting pictures from the book , the traditional Thai massage Wat Pho. To apply and adapt the experiment to create a painting of the media as a self-patterned pattern. Then, the information of the artwork from the influential artist. The information of famous artists who are epilepsy. And modern artists. Both from Thailand and from abroad. Creative illustrations and media mix creative projects. From intermediate quality color A variety of stationery supplies are available to ease the understanding of the patient and to create the same art therapy.









YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy has been inspired by the art of healing. Study and research the psychology of patients directly. Epilepsy is a disease identified by this time, by researching and collecting pictures from the book , the traditional Thai massage Wat Pho. To apply and adapt the experiment to create a painting of the media as a self-patterned pattern.
Then, the information of the artwork from the influential artist. The information of famous artists who are epilepsy. And modern artists. Both from Thailand and from abroad. Creative illustrations and media mix creative projects. From intermediate quality color A variety of stationery supplies are available to ease the understanding of the patient and to create the same art therapy.

 
ภาพถ่ายกระบวนการทำงาน

 
3. ที่มาและความสำคัญ

Yoga Illustration Epilepsy Art Therapy ©Panupon Sukhsri Media Visual Communication Design 


โครงการ ศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy   ได้รับแรงบัลดาลใจจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องศิลปะบำบัดศิลปินต่างชาติชื่อดังที่ป่วยลมชัก และศิลปินสมัยใหม่ ทั้งจากประเทศไทยและจากต่างประเทศ มาทดลองสร้างสรรค์ภาพประกอบ และ สื่อผสม ดำเนินโครงการสร้างสรรค์ จากสีคุณภาพระดับกลาง หลากหลายอุปกรณ์เครื่องเขียน ราคาถูก เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของผู้ป่วยหากรับชมและต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบำบัดเช่นเดียวกันโดยตรงโรคลมชัก  เป็น โรคที่ใช้ระบุในครั้งนี้โดยค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลรูปภาพจากหนังสือฤาษีดัดตนนวดแผนไทยตำหรับวัดโพธิ์ เพื่อนำมาประยุกต์และดัดแปลงทดลองสร้างจิตรกรรมสื่อภาพประกอบเป็นลวดลายแบบฉบับตนเอง จากนั้นข้อมูลของงานศิลปะจากศิลปินที่ส่งอิทธิพลทางความคิด โดยทั้งข้อมูลและค้นคว้าจิตวิทยาของผู้ป่วยสร้างสรรค์ศิลปะบำบัด




อานิสงส์ของการแจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน


๑กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้าง


๒หนี้เวรจะได้คลี่คลายและพ้นทะเลทุกข์


๓โรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไป


๔กิจการงานจะราบรื่นสมความปรารถนา


๕บารมีคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข


๖พ่อแม่จะมีอายุยืน


๗วิญญาณของผู้ที่เราเคารพและรักจะได้ไปสู่สุขคติ




The benefits of distributing Dhamma books as alms




1 Karma from past lives will be erased.




2 The debt of duty will be relieved and free from the sea of ​​suffering.



3 Diseases and illnesses from creditors will be eliminated.



4 Business will go smoothly as desired.



5 virtues to protect you to live in peace and happiness



6Parents will live a long time



7The souls of those we respect and love will rest in peace.




ตามกฎสวรรค์ เรื่องการปูนบำเหน็จความดีความชอบบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดจัดพิมพ์หนังสือธรรมะและบทสวดมนต์แจกจ่ายทั่วไป ซึ่งเป็นการช่วยสวรรค์ประกาศธรรมะ แนะนำให้ผู้คนได้กระทำความดีอานิสงฆ์กำหนดชัดแจ้งไว้ดังนี้




ผู้ใดจัดพิมพ์หนังสือธรรมะและบทสวดมนต์ ๒ เรื่องแจกจ่ายทั่วไป กุศลนั้นสามารถแก้กรรม (สะเดาะเคราะห์) ของชาติก่อนให้หนักกลายเป็นเบา จากเบาก็จะค่อยๆหมดไป




 ผู้ใดแจกหนังสือธรรมะตั้งแต่๔เรื่องขึ้นไป แจกจ่ายอย่างกว้างขวาง กุศลจะส่งผลให้ผู้นั้น เจริญด้วย ลาภ ยศ อายุ สุขะ พละ ได้บุตรหลานที่ดี



ผู้ใดแจกหนังสือธรรมะอย่างต่อเนื่องตลอดไป และแจกจ่ายอย่างกว้างขวาง กุศลจักส่งผลให้ผู้นั้น เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมเพียบพร้อมด้วย ลาภ ยศ อายุ สุขะ พละ จิตผ่องใส และส่งผลถึงบุตรหลานสามรุ่นให้เจริญรุ่งเรือง เมื่อละสังขารแล้วจักได้มีแต่ความสุขี



According to the heavenly law regarding rewards for good deeds, it is stated that Whoever publishes Dharma books and prayers for general distribution which is helping heaven to preach the Dhamma Advising people to do good deeds, the merits of the Sangha are clearly stated as follows.



Whoever publishes two Dharma books and prayers for general distribution Merit can solve karma. (Share away misfortune) from a past life so that it becomes light. From light it will gradually disappear.



 Whoever gives away 4 or more Dhamma books widely distributed Merit will cause that person to prosper in wealth, rank, longevity, health, and strength, and will have good children.



Whoever distributes Dhamma books continuously forever and distributed widely Merit will result in that person Prosper in both worldly and religious ways, complete with wealth, rank, longevity, health, strength, and a bright mind, and will influence three generations of children to prosper. When you leave your body, you will become a happiness mind.








บทที่ 1


Chapter 1

Introduction

 

Title : Yoga Illustration Epilepsy Art Therapy

©Sukhsri

 

Media: Visual Communication Design

  

3. Origin and importance

จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องศิลปะบำบัด โดยศึกษาและ ค้นคว้า จิตวิทยาของผู้ป่วยโดยตรง โรคลมชัก เป็นโรคที่ใช้ระบุในครั้งนี้ ศิลปินกับโรคต่างๆนั้น อาจเป็นเรื่องที่ดูคล้ายกับการค้นคว้าประวัติศาสตร์ของศิลปะไปในขณะเดียวกันได้ ประวัติศาสตร์ด้านศาสนากับการเยียวยาจิตใจ เป็นสิ่งที่ถูกใช้เป็นหลักในการดำเนินงาน หลักของศาสนาคนมัก ทราบกันว่าเป็นสิ่งผ่อนและบำบัดความเครียด แต่ปัจจุบันมักถูกมองเพียงผิวเผินเป็นแค่เรื่อง การทำบุญ ทำทาน โดยการคาดหวังผลประโยชน์แก่ผู้ทำบุญ แต่ทั้งนี้การสร้างสรรค์ศิลปะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีกระบวนการเชิงจิตวิทยากับผู้มีปัญหาทางสภาพจิตใจ กับการป่วยไข้ ซึ่งเป็นดั่งค่าซ้ำซ้อนแห่งสภาพการบำบัดจิตผู้ป่วย

สังคมปัจจุบันมักมองเรื่องโรคลมชักอย่างผิวเผินว่าเป็นโรคที่น่ากลัว ศาสนาเป็นเรื่องใกล้ตัวที่น่านำมาใช้เป็นประเด็น ศาสนาหลักของประเทศซึ่งก็คือศาสนาพุทธ ระบุว่า ลมชักเป็นค่า อะปะมาโร (ผู้บวชไม่ได้) ศาสนาคริสต์มองเป็นโรคที่คล้ายคนคลุ้มคลั่งเหมือนผีเข้า หรือแม้แต่มูฮัมหมัดก็มีการอ้างอิงว่าป่วยลมชักเช่นกัน อีกทั้งการคำนับของอิสลามก็เป็นคล้ายทรวดทรงของสมองคน ที่ต้องพึงระลึกราวกับค่าขาวดำในศาสนาเช่นค่าหยินหยาง ขณะที่ฮินดูสามารถนำมาใช้กล่าวได้เหมือนบางส่วนของไทย นั่นก็คือฤาษีดัดตน

 

การคลายค่าทุกข์ของผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งถูกคัดเลือกมาใช้ หลักที่ถูกเลือกคือ ไมเคิลแองเจลโล และ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินผู้ใหญ่ผู้ป่วยเป็นลมชัก และ ลอว์วิส แคลร์รอล นักเขียนนวนิยายซึ่งป่วยลมชักเช่นเดียวกัน ซึ่งอลิซวันเดอร์แลนด์เป็นนวนิยายที่ให้แรงบัลดาลใจแก่ผู้คนมากมาย
เนื่องด้วยผู้สร้างก็ป่วยไข้เช่นเดียวกัน การสร้างสรรค์งานชุดนี้เกิดขึ้นจากหลักสังวรณ์ในตนเอง โดยผ่านทั้งจิตไร้สำนึกและจิตใต้สำนึก ตามหลักการคิดเชิงจิตวิทยาที่ถูกค้นคว้าและคัดกรอง ค่า id ปัญหา ego ทิฐิส่วนบุคคล และค่าจบแห่ง superego ซึ่งนั้นก็คือผลงานต่างๆ ทั้งนี้ได้นำผลงานผ่านการสนทนากับจิตเวชส่วนบุคคลไปในขณะเดียวกัน

From studying and researching information on art therapy by directly studying and researching the psychology of patients, epilepsy is a disease used to identify this time. Artists and diseases It might seem like researching the history of art at the same time. History of Religion and Healing of the Mind It is what is mainly used in operations. The main religion It is known as relaxation and stress therapy.

But nowadays, it is often viewed superficially as just a matter of making merit, making merit by expecting benefits to those who make merit. However, the creation of art is one thing that has a psychological process for people with mental problems. with sickness which is like a redundant value of the patient's psychotherapy condition

Today's society often views epilepsy superficially as a dreaded disease. Religion is an intrinsic subject that should be used as an issue. The country's main religion, which is Buddhism, states that seizures are val apamaro (non-ordained).

Christianity viewed it as a disease that resembled a maniac like a ghost. Even Muhammad is referred to as having epilepsy. In addition, Islamic bowing is similar to the shape of the human brain. which must be remembered as black and white values ​​in religion such as yin and yang values While Hindu can be used to say like parts of Thailand. that is contorted hermit

To alleviate suffering from one group of patients was selected. The selected key is epileptic adult artists Michelangelo and Vincent Van Gogh; and epileptic novelist Lewis Carroll. Alice Wonderland is a novel that has inspired many people.

 

because the Creator was also ill The creation of this set of works originated from the principle of self-consciousness. through both the unconscious mind and the subconscious mind According to the psychological principles that have been researched and filtered, the id value, ego problem, personal ego and superego end value, that is, various works. At the same time, the work was brought through a conversation with a personal psychiatrist.



4 .วัตถุประสงค์
       1.)เพื่อถ่ายทอดความคิดข้าพเจ้าเรื่องศิลปะบำบัดโรคกับพุทธศิลป์ ฤาษีดัดตน ผ่านผลงานศิลปะ
       2.)เพื่อศึกษาและพัฒนางานสร้างสรรค์ โดยเรียนรู้ด้วยการเข้าใจด้วยตนเอง และปรับพัฒนารูปแบบพุทธศิลป์ร่วมสมัย

4 .Purpose

• 1.) To convey my thoughts on the art of healing and the art of Buddhism, Ruesi Contorted through art works.

• 2.) To study and develop creative works. by learning by self-understanding and adjust and develop contemporary Buddhist art forms

5.ขอบเขตโครงการ

       1.)ศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะบำบัด และคัดกรองข้อมูลจากตัวอย่างที่คัดสรร โดยผู้ศึกษาจะนำข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ และจุดประสงค์ของศิลปะกับการแพทย์ มาศึกษา รูปแบบ วิธีการ ในการถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการนำเสนอศิลปะร่วมสมัยจากฤาษีดัดตน

       2.)ศึกษา วิเคราะห์เปรียบเทียบ ศิลปะบำบัด และศาสนศิลป์ทั้งของประเทศไทยและ  ต่างประเทศ

5. Project scope

 

• 1.) Study and analyze Information about art therapy and screened the data from selected samples. The students will bring historical information. and the purpose of art and medicine to study patterns and methods of storytelling To understand the presenting of contemporary art from Ruesi Dutton

 

• 2.) Study, analyze and compare art therapy and religious arts both in Thailand and abroad.


6.แผนการดำเนินโครงการ
       1.)ค้นคว้าศาสนศิลป์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเยียวยารักษาโรคจากแหล่งข้อมูลต่างๆ

       2.)นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์รูปแบบ การร่าง การทดลองงาน และสร้างงานเชิงศาสนศิลป์ที่อาจตรงประเด็น และขัดแย้งในรูปแบบแต่มีเหตุผล เพื่อให้เกิดความน่าสนใจและแง่คิดเชิงคำถามแต่ผู้รับชมผลงาน
       3.)สร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัย

6. Project implementation plan

• 1.) Research religious art with stories about healing from various sources.

 

• 2.) Analyze the data obtained in the form, sketch, work experiment, and create works of religious art that may be relevant. and controversial in form but with a reason in order to create interest and question-based thinking, but the viewers of the work

• 3.) Create contemporary works.


7.ผลที่คาดว่าจะได้รับ

       1)ถ่ายทอดมุมมองข้าพเจ้าที่มีต่อศิลปะบำบัด ว่าการสร้างสรรค์ศิลปะ เป็นสิ่งผ่อนคลายโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นสิ่งที่ถูกมองอย่างผิวเผินในสังคมยุคปัจจุบัน และสังคมผู้ป่วยหากไม่มีความเข้าใจศิลปะบำบัดในเชิงลึก เช่น ศิลปินที่ป่วยไข้ที่มีชื่อเสียงจากข้อมูลประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่ต้องการสร้างสรรค์จะทำให้สังคม เข้าใจคำว่า ศิลปะบำบัดได้กว้างขวางมากขึ้น

       2)ถ่ายทอดคุณค่าของศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ ในมุมมองของผู้ป่วยโรคลมชัก ว่าศิลปะการแพทย์แผนโบราณที่มักถูกมองอย่างผิวเผิน หากลองพิจารณาด้านศิลปะศาสตร์บำบัด ที่มีแหล่งข้อมูลเชิงประติมากรรม ภาพประกอบ เชิงประวัติศาสตร์ หาลองนำมาปรับและประยุกต์ให้มีความร่วมสมัย จะเกิดผลงานศิลปะบำบัดที่มีความร่วมสมัยของสังคม

7. Expected results

 

• 1) Convey my view on art therapy. that the creation of art It is a relief from illness. and is something that is seen superficially in today's society And the patient society if there is no in-depth understanding of art therapy, such as famous sick artists from historical data The story that needs to be created will make society understand the word art therapy more widely.

 

• 2) To convey the value of the contorted hermit's art to cure sickness. From the point of view of patients with epilepsy that the art of traditional medicine that is often viewed as superficial If you consider art therapy with sculptures, illustrations, historical sources Find and try to adjust and apply to be contemporary. will produce works of art therapy that are contemporary in society
























2.2ข้อมูลเชิงวิชาการ เอกสารอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ หลักการทฤษฎีต่างๆศิลปนิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง


2.2.1ศิลปะบำบัด








YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy has been inspired by the art of healing. Study and research the psychology of patients directly. Epilepsy is a disease identified by this time, by researching and collecting pictures from the book , the traditional Thai massage Wat Pho. To apply and adapt the experiment to create a painting of the media as a self-patterned pattern.
Then, the information of the artwork from the influential artist. The information of famous artists who are epilepsy. And modern artists. Both from Thailand and from abroad. Creative illustrations and media mix creative projects. From intermediate quality color A variety of stationery supplies are available to ease the understanding of the patient and to create the same art therapy.

 
ภาพถ่ายกระบวนการทำงาน

 
3. ที่มาและความสำคัญ

Yoga Illustration Epilepsy Art Therapy ©Panupon Sukhsri Media Visual Communication Design 


โครงการ ศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ YOGA ILLUSTRATION Epilepsy Art Therapy   ได้รับแรงบัลดาลใจจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องศิลปะบำบัดศิลปินต่างชาติชื่อดังที่ป่วยลมชัก และศิลปินสมัยใหม่ ทั้งจากประเทศไทยและจากต่างประเทศ มาทดลองสร้างสรรค์ภาพประกอบ และ สื่อผสม ดำเนินโครงการสร้างสรรค์ จากสีคุณภาพระดับกลาง หลากหลายอุปกรณ์เครื่องเขียน ราคาถูก เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจของผู้ป่วยหากรับชมและต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบำบัดเช่นเดียวกันโดยตรงโรคลมชัก  เป็น โรคที่ใช้ระบุในครั้งนี้โดยค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลรูปภาพจากหนังสือฤาษีดัดตนนวดแผนไทยตำหรับวัดโพธิ์ เพื่อนำมาประยุกต์และดัดแปลงทดลองสร้างจิตรกรรมสื่อภาพประกอบเป็นลวดลายแบบฉบับตนเอง จากนั้นข้อมูลของงานศิลปะจากศิลปินที่ส่งอิทธิพลทางความคิด โดยทั้งข้อมูลและค้นคว้าจิตวิทยาของผู้ป่วยสร้างสรรค์ศิลปะบำบัด




อานิสงส์ของการแจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน


๑กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้าง


๒หนี้เวรจะได้คลี่คลายและพ้นทะเลทุกข์


๓โรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไป


๔กิจการงานจะราบรื่นสมความปรารถนา


๕บารมีคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข


๖พ่อแม่จะมีอายุยืน


๗วิญญาณของผู้ที่เราเคารพและรักจะได้ไปสู่สุขคติ




The benefits of distributing Dhamma books as alms




1 Karma from past lives will be erased.




2 The debt of duty will be relieved and free from the sea of ​​suffering.



3 Diseases and illnesses from creditors will be eliminated.



4 Business will go smoothly as desired.



5 virtues to protect you to live in peace and happiness



6Parents will live a long time



7The souls of those we respect and love will rest in peace.




ตามกฎสวรรค์ เรื่องการปูนบำเหน็จความดีความชอบบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดจัดพิมพ์หนังสือธรรมะและบทสวดมนต์แจกจ่ายทั่วไป ซึ่งเป็นการช่วยสวรรค์ประกาศธรรมะ แนะนำให้ผู้คนได้กระทำความดีอานิสงฆ์กำหนดชัดแจ้งไว้ดังนี้




ผู้ใดจัดพิมพ์หนังสือธรรมะและบทสวดมนต์ ๒ เรื่องแจกจ่ายทั่วไป กุศลนั้นสามารถแก้กรรม (สะเดาะเคราะห์) ของชาติก่อนให้หนักกลายเป็นเบา จากเบาก็จะค่อยๆหมดไป




 ผู้ใดแจกหนังสือธรรมะตั้งแต่๔เรื่องขึ้นไป แจกจ่ายอย่างกว้างขวาง กุศลจะส่งผลให้ผู้นั้น เจริญด้วย ลาภ ยศ อายุ สุขะ พละ ได้บุตรหลานที่ดี



ผู้ใดแจกหนังสือธรรมะอย่างต่อเนื่องตลอดไป และแจกจ่ายอย่างกว้างขวาง กุศลจักส่งผลให้ผู้นั้น เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมเพียบพร้อมด้วย ลาภ ยศ อายุ สุขะ พละ จิตผ่องใส และส่งผลถึงบุตรหลานสามรุ่นให้เจริญรุ่งเรือง เมื่อละสังขารแล้วจักได้มีแต่ความสุขี



According to the heavenly law regarding rewards for good deeds, it is stated that Whoever publishes Dharma books and prayers for general distribution which is helping heaven to preach the Dhamma Advising people to do good deeds, the merits of the Sangha are clearly stated as follows.



Whoever publishes two Dharma books and prayers for general distribution Merit can solve karma. (Share away misfortune) from a past life so that it becomes light. From light it will gradually disappear.



 Whoever gives away 4 or more Dhamma books widely distributed Merit will cause that person to prosper in wealth, rank, longevity, health, and strength, and will have good children.



Whoever distributes Dhamma books continuously forever and distributed widely Merit will result in that person Prosper in both worldly and religious ways, complete with wealth, rank, longevity, health, strength, and a bright mind, and will influence three generations of children to prosper. When you leave your body, you will become a happiness mind.








บทที่ 1


Chapter 1

Introduction

 

Title : Yoga Illustration Epilepsy Art Therapy

©Sukhsri

 

Media: Visual Communication Design

  

3. Origin and importance

จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องศิลปะบำบัด โดยศึกษาและ ค้นคว้า จิตวิทยาของผู้ป่วยโดยตรง โรคลมชัก เป็นโรคที่ใช้ระบุในครั้งนี้ ศิลปินกับโรคต่างๆนั้น อาจเป็นเรื่องที่ดูคล้ายกับการค้นคว้าประวัติศาสตร์ของศิลปะไปในขณะเดียวกันได้ ประวัติศาสตร์ด้านศาสนากับการเยียวยาจิตใจ เป็นสิ่งที่ถูกใช้เป็นหลักในการดำเนินงาน หลักของศาสนาคนมัก ทราบกันว่าเป็นสิ่งผ่อนและบำบัดความเครียด แต่ปัจจุบันมักถูกมองเพียงผิวเผินเป็นแค่เรื่อง การทำบุญ ทำทาน โดยการคาดหวังผลประโยชน์แก่ผู้ทำบุญ แต่ทั้งนี้การสร้างสรรค์ศิลปะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีกระบวนการเชิงจิตวิทยากับผู้มีปัญหาทางสภาพจิตใจ กับการป่วยไข้ ซึ่งเป็นดั่งค่าซ้ำซ้อนแห่งสภาพการบำบัดจิตผู้ป่วย

สังคมปัจจุบันมักมองเรื่องโรคลมชักอย่างผิวเผินว่าเป็นโรคที่น่ากลัว ศาสนาเป็นเรื่องใกล้ตัวที่น่านำมาใช้เป็นประเด็น ศาสนาหลักของประเทศซึ่งก็คือศาสนาพุทธ ระบุว่า ลมชักเป็นค่า อะปะมาโร (ผู้บวชไม่ได้) ศาสนาคริสต์มองเป็นโรคที่คล้ายคนคลุ้มคลั่งเหมือนผีเข้า หรือแม้แต่มูฮัมหมัดก็มีการอ้างอิงว่าป่วยลมชักเช่นกัน อีกทั้งการคำนับของอิสลามก็เป็นคล้ายทรวดทรงของสมองคน ที่ต้องพึงระลึกราวกับค่าขาวดำในศาสนาเช่นค่าหยินหยาง ขณะที่ฮินดูสามารถนำมาใช้กล่าวได้เหมือนบางส่วนของไทย นั่นก็คือฤาษีดัดตน

 

การคลายค่าทุกข์ของผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งถูกคัดเลือกมาใช้ หลักที่ถูกเลือกคือ ไมเคิลแองเจลโล และ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินผู้ใหญ่ผู้ป่วยเป็นลมชัก และ ลอว์วิส แคลร์รอล นักเขียนนวนิยายซึ่งป่วยลมชักเช่นเดียวกัน ซึ่งอลิซวันเดอร์แลนด์เป็นนวนิยายที่ให้แรงบัลดาลใจแก่ผู้คนมากมาย
เนื่องด้วยผู้สร้างก็ป่วยไข้เช่นเดียวกัน การสร้างสรรค์งานชุดนี้เกิดขึ้นจากหลักสังวรณ์ในตนเอง โดยผ่านทั้งจิตไร้สำนึกและจิตใต้สำนึก ตามหลักการคิดเชิงจิตวิทยาที่ถูกค้นคว้าและคัดกรอง ค่า id ปัญหา ego ทิฐิส่วนบุคคล และค่าจบแห่ง superego ซึ่งนั้นก็คือผลงานต่างๆ ทั้งนี้ได้นำผลงานผ่านการสนทนากับจิตเวชส่วนบุคคลไปในขณะเดียวกัน

From studying and researching information on art therapy by directly studying and researching the psychology of patients, epilepsy is a disease used to identify this time. Artists and diseases It might seem like researching the history of art at the same time. History of Religion and Healing of the Mind It is what is mainly used in operations. The main religion It is known as relaxation and stress therapy.

But nowadays, it is often viewed superficially as just a matter of making merit, making merit by expecting benefits to those who make merit. However, the creation of art is one thing that has a psychological process for people with mental problems. with sickness which is like a redundant value of the patient's psychotherapy condition

Today's society often views epilepsy superficially as a dreaded disease. Religion is an intrinsic subject that should be used as an issue. The country's main religion, which is Buddhism, states that seizures are val apamaro (non-ordained).

Christianity viewed it as a disease that resembled a maniac like a ghost. Even Muhammad is referred to as having epilepsy. In addition, Islamic bowing is similar to the shape of the human brain. which must be remembered as black and white values ​​in religion such as yin and yang values While Hindu can be used to say like parts of Thailand. that is contorted hermit

To alleviate suffering from one group of patients was selected. The selected key is epileptic adult artists Michelangelo and Vincent Van Gogh; and epileptic novelist Lewis Carroll. Alice Wonderland is a novel that has inspired many people.

 

because the Creator was also ill The creation of this set of works originated from the principle of self-consciousness. through both the unconscious mind and the subconscious mind According to the psychological principles that have been researched and filtered, the id value, ego problem, personal ego and superego end value, that is, various works. At the same time, the work was brought through a conversation with a personal psychiatrist.



4 .วัตถุประสงค์
       1.)เพื่อถ่ายทอดความคิดข้าพเจ้าเรื่องศิลปะบำบัดโรคกับพุทธศิลป์ ฤาษีดัดตน ผ่านผลงานศิลปะ
       2.)เพื่อศึกษาและพัฒนางานสร้างสรรค์ โดยเรียนรู้ด้วยการเข้าใจด้วยตนเอง และปรับพัฒนารูปแบบพุทธศิลป์ร่วมสมัย

4 .Purpose

• 1.) To convey my thoughts on the art of healing and the art of Buddhism, Ruesi Contorted through art works.

• 2.) To study and develop creative works. by learning by self-understanding and adjust and develop contemporary Buddhist art forms

5.ขอบเขตโครงการ

       1.)ศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะบำบัด และคัดกรองข้อมูลจากตัวอย่างที่คัดสรร โดยผู้ศึกษาจะนำข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ และจุดประสงค์ของศิลปะกับการแพทย์ มาศึกษา รูปแบบ วิธีการ ในการถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการนำเสนอศิลปะร่วมสมัยจากฤาษีดัดตน

       2.)ศึกษา วิเคราะห์เปรียบเทียบ ศิลปะบำบัด และศาสนศิลป์ทั้งของประเทศไทยและ  ต่างประเทศ

5. Project scope

 

• 1.) Study and analyze Information about art therapy and screened the data from selected samples. The students will bring historical information. and the purpose of art and medicine to study patterns and methods of storytelling To understand the presenting of contemporary art from Ruesi Dutton

 

• 2.) Study, analyze and compare art therapy and religious arts both in Thailand and abroad.


6.แผนการดำเนินโครงการ
       1.)ค้นคว้าศาสนศิลป์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเยียวยารักษาโรคจากแหล่งข้อมูลต่างๆ

       2.)นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์รูปแบบ การร่าง การทดลองงาน และสร้างงานเชิงศาสนศิลป์ที่อาจตรงประเด็น และขัดแย้งในรูปแบบแต่มีเหตุผล เพื่อให้เกิดความน่าสนใจและแง่คิดเชิงคำถามแต่ผู้รับชมผลงาน
       3.)สร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัย

6. Project implementation plan

• 1.) Research religious art with stories about healing from various sources.

 

• 2.) Analyze the data obtained in the form, sketch, work experiment, and create works of religious art that may be relevant. and controversial in form but with a reason in order to create interest and question-based thinking, but the viewers of the work

• 3.) Create contemporary works.


7.ผลที่คาดว่าจะได้รับ

       1)ถ่ายทอดมุมมองข้าพเจ้าที่มีต่อศิลปะบำบัด ว่าการสร้างสรรค์ศิลปะ เป็นสิ่งผ่อนคลายโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นสิ่งที่ถูกมองอย่างผิวเผินในสังคมยุคปัจจุบัน และสังคมผู้ป่วยหากไม่มีความเข้าใจศิลปะบำบัดในเชิงลึก เช่น ศิลปินที่ป่วยไข้ที่มีชื่อเสียงจากข้อมูลประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่ต้องการสร้างสรรค์จะทำให้สังคม เข้าใจคำว่า ศิลปะบำบัดได้กว้างขวางมากขึ้น

       2)ถ่ายทอดคุณค่าของศิลปะบำบัดฤาษีดัดตนเพื่อเยียวยาความป่วยไข้ ในมุมมองของผู้ป่วยโรคลมชัก ว่าศิลปะการแพทย์แผนโบราณที่มักถูกมองอย่างผิวเผิน หากลองพิจารณาด้านศิลปะศาสตร์บำบัด ที่มีแหล่งข้อมูลเชิงประติมากรรม ภาพประกอบ เชิงประวัติศาสตร์ หาลองนำมาปรับและประยุกต์ให้มีความร่วมสมัย จะเกิดผลงานศิลปะบำบัดที่มีความร่วมสมัยของสังคม

7. Expected results

 

• 1) Convey my view on art therapy. that the creation of art It is a relief from illness. and is something that is seen superficially in today's society And the patient society if there is no in-depth understanding of art therapy, such as famous sick artists from historical data The story that needs to be created will make society understand the word art therapy more widely.

 

• 2) To convey the value of the contorted hermit's art to cure sickness. From the point of view of patients with epilepsy that the art of traditional medicine that is often viewed as superficial If you consider art therapy with sculptures, illustrations, historical sources Find and try to adjust and apply to be contemporary. will produce works of art therapy that are contemporary in society
























2.2ข้อมูลเชิงวิชาการ เอกสารอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ หลักการทฤษฎีต่างๆศิลปนิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง


2.2.1ศิลปะบำบัด

ศิลปะบำบัด (อย่าสับสนกับศิลปะบำบัดซึ่งรวมถึงการบำบัดเชิงสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น การแสดงละครและดนตรีบำบัด ) เป็นวินัยที่ชัดเจนซึ่งรวมเอาวิธีการแสดงออกที่สร้างสรรค์ผ่านสื่อทัศนศิลป์ ศิลปะบำบัดในฐานะวิชาชีพบำบัดด้วยศิลปะสร้างสรรค์มีต้นกำเนิดในสาขาศิลปะและจิตบำบัดและอาจมีคำจำกัดความที่แตกต่างกันออกไป

มีสามวิธีหลักที่ใช้ศิลปะบำบัด อันแรกเรียกว่าศิลปะบำบัดเชิงวิเคราะห์ การบำบัดด้วยศิลปะเชิงวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับทฤษฎีที่มาจากจิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ และในกรณีอื่นๆ ก็คือ จิตวิเคราะห์[1] การวิเคราะห์ด้วยศิลปะบำบัดมุ่งเน้นไปที่ลูกค้า นักบำบัดโรค และแนวคิดที่ถ่ายทอดระหว่างพวกเขาทั้งสองผ่านงานศิลปะ[1]อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ศิลปะบำบัดคือศิลปะจิตบำบัด แนวทางนี้เน้นไปที่นักจิตอายุรเวทและการวิเคราะห์ผลงานของลูกค้าด้วยวาจา[1]วิธีสุดท้ายในการพิจารณาศิลปะบำบัดคือการมองผ่านเลนส์ของศิลปะเป็นการบำบัด นักศิลปะบำบัดบางคนที่ใช้ศิลปะเป็นการบำบัดเชื่อว่าการวิเคราะห์งานศิลปะของลูกค้าด้วยวาจาไม่จำเป็น ดังนั้นพวกเขาจึงเน้นที่กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะแทน [1]ในแนวทางต่างๆ เหล่านี้ในการบำบัดด้วยศิลปะ ลูกค้าของนักศิลปะบำบัดได้เดินทางไปสำรวจความคิดและอารมณ์ภายในของตนโดยใช้สี กระดาษ ปากกา ดินเหนียว ทราย หรือแม้แต่ผ้า [1]

ศิลปะบำบัดสามารถใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนปรับปรุงการทำงานของประสาทสัมผัสและการรับรู้ ความนับถือตนเอง ความตระหนักในตนเอง ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ [2]นอกจากนี้ยังอาจช่วยในการแก้ไขความขัดแย้งและลดความทุกข์

ศิลปะบำบัดในปัจจุบันมีจำนวนมากมายของวิธีการอื่น ๆ เช่นคนเป็นศูนย์กลาง , องค์ความรู้ , พฤติกรรม , Gestalt , การเล่าเรื่อง , Adlerianและครอบครัว หลักการของศิลปะบำบัดเกี่ยวข้องกับมนุษยนิยมความคิดสร้างสรรค์ การประนีประนอมความขัดแย้งทางอารมณ์ การส่งเสริมความตระหนักในตนเอง และการเติบโตส่วนบุคคล [3]

ประวัติ

ในประวัติศาสตร์ของการรักษาสุขภาพจิต ศิลปะบำบัด (รวมการศึกษาด้านจิตวิทยาและศิลปะ) ได้กลายมาเป็นสาขาใหม่ในภายหลัง การบำบัดที่แปลกใหม่ประเภทนี้ใช้เพื่อปลูกฝังความนับถือตนเองและความตระหนักรู้ ปรับปรุงความสามารถทางปัญญาและการเคลื่อนไหว แก้ไขข้อขัดแย้งหรือความเครียด และสร้างแรงบันดาลใจในการฟื้นตัวของผู้ป่วย[2]มันเชื้อเชิญประสาทสัมผัสจลนศาสตร์ การรับรู้ และสัญลักษณ์ทางประสาทสัมผัสเพื่อแก้ไขปัญหาที่จิตบำบัดด้วยวาจาไม่สามารถเข้าถึงได้[2]แม้ว่าศิลปะบำบัดเป็นศาสตร์แห่งการรักษาที่ค่อนข้างอายุน้อย แต่รากของมันอยู่ที่การใช้ศิลปะใน การรักษาทางศีลธรรม ' ของผู้ป่วยจิตเวชในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 [4]

ศิลปะบำบัดเป็นอาชีพเริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเกิดขึ้นอย่างอิสระในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและยุโรป สมัยนั้นมีการใช้ศิลปะด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่ การสื่อสาร การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก และในบริบททางศาสนา[1]นักศิลปะบำบัดยุคแรกๆ ที่ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับงานของพวกเขา ยอมรับอิทธิพลของสุนทรียศาสตร์ จิตเวชศาสตร์ จิตวิเคราะห์ การฟื้นฟู การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาศิลปะในระดับต่างๆ[4]

ศิลปินชาวอังกฤษชื่อเอเดรียน ฮิลล์ (Adrian Hill) เป็นผู้คิดค้นคำว่าศิลปะบำบัดในปี พ.ศ. 2485 [5] เขา ฟื้นตัวจากวัณโรคในโรงพยาบาล ค้นพบประโยชน์ในการรักษาของการวาดภาพและระบายสีขณะพักฟื้น เขาเขียนว่าคุณค่าของศิลปะบำบัดอยู่ที่ "การครอบงำจิตใจอย่างสมบูรณ์ (เช่นเดียวกับนิ้วมือ)...การปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ของผู้ป่วยที่ถูกยับยั้งบ่อยๆ" ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสามารถ "สร้างการป้องกันที่แข็งแกร่งต่อความโชคร้ายของเขา" เขาแนะนำงานศิลปะให้กับผู้ป่วยเพื่อนของเขา ที่เริ่มทำงานศิลปะบำบัดของเขาซึ่งถูกบันทึกในปี 1945 ในหนังสือของเขาศิลปะกับความเจ็บป่วย [6]


เอ็ดเวิร์ด อดัมสัน "บิดาแห่งศิลปะบำบัดในอังกฤษ" [7]

ศิลปินเอ็ดเวิร์ด อดัมสันซึ่งปลดประจำการหลังสงครามโลกครั้งที่ ได้เข้าร่วมกับเอเดรียน ฮิลล์ เพื่อขยายงานของฮิลล์ไปยังโรงพยาบาลจิตเวชที่พำนักระยะยาวในอังกฤษ ผู้เสนอศิลปะบำบัดในยุคแรก ๆ ในสหราชอาณาจักร ได้แก่ EM Lyddiatt, Michael Edwards , Diana Raphael-Halliday และ Rita Simons British Association of Art Therapists ก่อตั้งขึ้นในปี 2507 [8]

ผู้บุกเบิกศิลปะบำบัดของสหรัฐอเมริกาMargaret NaumburgและEdith Kramerเริ่มฝึกในเวลาเดียวกับ Hill Naumburg นักการศึกษายืนยันว่า "ศิลปะบำบัดมุ่งเน้นด้านจิตวิเคราะห์" และการแสดงออกทางศิลปะอย่างอิสระนั้น "กลายเป็นรูปแบบของการพูดเชิงสัญลักษณ์ซึ่ง...นำไปสู่การเพิ่มการใช้คำพูดในระหว่างการบำบัด" [9]อีดิธ เครเมอร์ ศิลปิน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการสร้างสรรค์ การป้องกันทางจิตวิทยา และคุณภาพทางศิลปะ โดยเขียนว่า "การระเหิดเกิดขึ้นเมื่อสร้างรูปแบบที่ประกอบด้วย...ความโกรธ ความวิตกกังวล หรือความเจ็บปวดได้สำเร็จ" [10] proponents ต้นอื่น ๆ ของศิลปะบำบัดในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เอลินอ Ulman, โรเบิร์ต "บ๊อบ" เอิร์ท ,และ จูดิธ รูบินบำบัดสมาคมศิลปะอเมริกันก่อตั้งขึ้นในปี 1969 [11]

สมาคมวิชาชีพศิลปะบำบัดแห่งชาติมีอยู่ในหลายประเทศ รวมทั้งบราซิล แคนาดา ฟินแลนด์ เลบานอน อิสราเอล ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ โรมาเนีย เกาหลีใต้ และสวีเดน เครือข่ายระหว่างประเทศมีส่วนช่วยในการจัดตั้งมาตรฐานการศึกษาและการปฏิบัติ (12)

กระบวนการทำงานของ Art Therapist

มีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะบำบัด ซึ่งเสริมมุมมองที่เน้นการสร้างสถาบันศิลปะบำบัดในฐานะวิชาชีพในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา [13] [14] [15]

คำจำกัดความ


ศิลปะบำบัดโรคนาฬิกากว่าคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการศิลปะบำบัดในประเทศเซเนกัล

มีคำจำกัดความต่างๆของคำว่าเป็นศิลปะบำบัด [16] : 1

British Association of Art Therapists นิยามศิลปะบำบัดว่าเป็น "รูปแบบของจิตบำบัดที่ใช้สื่อศิลปะเป็นโหมดหลักในการแสดงออกและการสื่อสาร" [17]

สมาคมศิลปะบำบัดอเมริกันกำหนดศิลปะบำบัดว่า "สุขภาพจิตบูรณาการและการบริการของมนุษย์อาชีพที่เสริมสร้างชีวิตของบุคคลครอบครัวและชุมชนผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ศิลปะที่ทำให้การใช้งานที่ใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยาและประสบการณ์ของมนุษย์ที่อยู่ในความสัมพันธ์กับจิตอายุรเวท ." [18]

ใช้

ในฐานะวิชาชีพด้านสุขภาพจิตที่ได้รับการควบคุม มีการใช้ศิลปะบำบัดในสถานพยาบาลและสถานพยาบาลอื่นๆ หลายแห่งที่มีประชากรหลากหลาย เป็นที่ยอมรับมากขึ้นว่าเป็นรูปแบบการบำบัดที่ถูกต้อง ศิลปะบำบัดสามารถพบได้ในสถานที่ที่ไม่ใช่ทางคลินิก เช่นเดียวกับในสตูดิโอศิลปะและในเวิร์กช็อปพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การออกใบอนุญาตสำหรับนักศิลปะบำบัดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ โดยที่บางคนยอมรับศิลปะบำบัดเป็นใบอนุญาตแยกต่างหาก และการออกใบอนุญาตบางส่วนภายใต้สาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ ผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต [19] นักบำบัดศิลปะต้องมีการศึกษาระดับปริญญาโทที่มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาทางด้านจิตใจกลุ่มบำบัดและต้องดำเนินการฝึกงานทางคลินิก (20) นักศิลปะบำบัดยังสามารถติดตามการรับรองเพิ่มเติมผ่าน Art Therapy Credentials Board [21]นักศิลปะบำบัดทำงานกับประชากรทุกวัยและมีความผิดปกติและโรคต่างๆ มากมาย นักศิลปะบำบัดให้บริการแก่เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคล คู่รัก ครอบครัว หรือกลุ่ม

นักศิลปะบำบัดใช้ทักษะการประเมินและจิตบำบัดเลือกวัสดุและการแทรกแซงที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและช่วงการออกแบบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการรักษา พวกเขาใช้กระบวนการสร้างสรรค์เพื่อช่วยให้ลูกค้าเพิ่มความเข้าใจ รับมือกับความเครียด ทำงานผ่านประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเพิ่มความสามารถในการรับรู้ ความจำ และประสาทสัมผัส ปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และบรรลุการเติมเต็มในตนเองมากขึ้น กิจกรรมที่นักศิลปะบำบัดเลือกทำกับลูกค้าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพจิตใจหรืออายุ นักศิลปะบำบัดอาจวาดภาพจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่นARAS(Archive for Research in Archetypal Symbolism) เพื่อรวมศิลปะและสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์เข้ากับงานของพวกเขากับผู้ป่วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐ จังหวัด หรือประเทศ คำว่า "นักศิลปะบำบัด" อาจสงวนไว้สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะและการบำบัด และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกด้านศิลปะบำบัดหรือการรับรองด้านศิลปะบำบัดที่ได้รับหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ในสาขาที่เกี่ยวข้อง[22]ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ เช่น ผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และนักบำบัดด้วยการเล่น สามารถเลือกผสมผสานการสร้างงานศิลปะกับวิธีการทางจิตบำบัดขั้นพื้นฐานในการรักษา นักบำบัดอาจเข้าใจการดูดซับข้อมูลของลูกค้าได้ดีขึ้นหลังจากประเมินองค์ประกอบของงานศิลปะแล้ว[23]

การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบได้รวบรวมและประเมินผลการศึกษาวิจัยต่างๆ ซึ่งบางส่วนได้ระบุไว้ด้านล่าง โดยรวมแล้ว สิ่งพิมพ์แบบสำรวจนี้เปิดเผยว่าทั้งความแปรปรวนในระดับสูง (เช่นการผสมผสานการบำบัดด้วยการพูดคุย) และการศึกษาจำนวนจำกัดที่ทำกับนักบำบัดด้วยศิลปะที่ผ่านการรับรองทำให้เป็นการยากที่จะสรุปผลการค้นพบ แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่ศิลปะบำบัดได้พิสูจน์ประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตในระดับหนึ่ง [24]

โรคทั่วไป

งานศิลปะเป็นกิจกรรมทั่วไปที่หลายคนใช้เพื่อรับมือกับความเจ็บป่วย ศิลปะและกระบวนการสร้างสรรค์สามารถบรรเทาความเจ็บป่วยได้มากมาย (มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ) การบำบัดรูปแบบนี้มีประโยชน์ต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเช่นกัน (โรคซึมเศร้าเรื้อรัง โรควิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นต้น) เป็นการยากที่จะวัดประสิทธิภาพของศิลปะบำบัด เนื่องจากรักษาโรคทางจิตต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกัน แม้ว่าผู้คนจะหลีกหนีจากผลกระทบทางอารมณ์ของความเจ็บป่วยต่างๆ ได้ด้วยการสร้างงานศิลปะและวิธีการที่สร้างสรรค์มากมาย[25] บางครั้งผู้คนไม่สามารถแสดงความรู้สึกของตนได้ เนื่องจากเป็นการยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด และศิลปะสามารถช่วยให้ผู้คนแสดงประสบการณ์ของตนได้ "ระหว่างศิลปะบำบัด ผู้คนสามารถสำรวจประสบการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยใช้ศิลปะเป็นรูปแบบของการเผชิญปัญหา"[25]ศิลปะสามารถเป็นที่พึ่งสำหรับอารมณ์ที่รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย จินตนาการไม่มีขีดจำกัดในการหาวิธีแสดงอารมณ์อย่างสร้างสรรค์

โรงพยาบาลต่างๆ ได้เริ่มศึกษาอิทธิพลของศิลปะที่มีต่อการดูแลผู้ป่วย และพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการศิลปะมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีอาการแทรกซ้อนในการนอนหลับน้อยลง อิทธิพลทางศิลปะไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในโปรแกรม แต่จากการศึกษาพบว่าภาพทิวทัศน์ในห้องของโรงพยาบาลลดความต้องการยาแก้ปวดและเวลาในการพักฟื้นที่โรงพยาบาลน้อยลง [25]นอกจากนี้ การดูหรือสร้างงานศิลปะในโรงพยาบาลช่วยให้สัญญาณชีพคงที่ เร่งกระบวนการบำบัด และโดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกมีความหวังและจิตวิญญาณ ครอบครัว เจ้าหน้าที่ดูแล แพทย์และพยาบาลก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง

มีการศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับประโยชน์ของศิลปะบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง พบว่าศิลปะบำบัดมีประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยในช่วงที่มีความเครียด เช่น การรักษาด้วยเคมีบำบัด (26)

นักศิลปะบำบัดได้ทำการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจว่าเหตุใดผู้ป่วยโรคมะเร็งบางรายจึงหันมาสร้างงานศิลปะเพื่อเป็นกลไกในการเผชิญปัญหาและเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์เชิงบวกนอกเหนือจากการเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ผู้หญิงในการศึกษาได้เข้าร่วมในโปรแกรมศิลปะต่างๆ ตั้งแต่เครื่องปั้นดินเผา การทำการ์ด ไปจนถึงการวาดภาพและระบายสี โปรแกรมดังกล่าวช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนตัวตนนอกเหนือจากการเป็นมะเร็ง ลดความเจ็บปวดทางอารมณ์จากการต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง และยังทำให้พวกเขามีความหวังสำหรับอนาคตอีกด้วย

ในการศึกษาเกี่ยวกับสตรีที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เช่น ความกลัว ความเจ็บปวด ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ฯลฯ พบว่า:

การมีส่วนร่วมในงานทัศนศิลป์ประเภทต่างๆ (สิ่งทอ การทำการ์ด ภาพปะติด เครื่องปั้นดินเผา สีน้ำ อะคริลิก) ช่วยผู้หญิงเหล่านี้ใน วิธีหลัก ประการแรก ช่วยให้พวกเขาจดจ่อกับประสบการณ์ชีวิตในเชิงบวก บรรเทาความหมกมุ่นอยู่กับโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง ประการที่สอง มันเพิ่มคุณค่าในตนเองและอัตลักษณ์โดยให้โอกาสในการแสดงความต่อเนื่อง ความท้าทาย และความสำเร็จ ประการที่สาม ช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาเอกลักษณ์ทางสังคมที่ต่อต้านการเป็นมะเร็งได้ ในที่สุด มันทำให้พวกเขาแสดงความรู้สึกในลักษณะสัญลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการทำเคมีบำบัด [25]

การศึกษาอื่นแสดงให้เห็นว่าผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมประเภทนี้ถูกปลดเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วม [25]

นอกจากนี้ การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งเผยให้เห็นถึงผลการรักษาของศิลปะบำบัดต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในสตรี จากการศึกษาพบว่าการใช้ศิลปะบำบัดในระยะสั้นช่วยปรับปรุงสภาวะทางอารมณ์และการรับรู้ของผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ [24]

การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าความทุกข์ทางอารมณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งลดลงเมื่อใช้กระบวนการสร้างสรรค์อย่างไร ผู้หญิงวาดภาพตัวเองตลอดกระบวนการบำบัดขณะทำโยคะและนั่งสมาธิ การกระทำเหล่านี้ร่วมกันช่วยบรรเทาอาการบางอย่างได้ [25]

การศึกษาอื่นศึกษาประสิทธิภาพของศิลปะบำบัดที่เน้นการเจริญสติ ผสมผสานการทำสมาธิกับศิลปะ ในการศึกษาขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วม 111 คน[27]การศึกษาใช้การวัด เช่น คุณภาพชีวิต อาการทางร่างกาย ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการแทรกแซง สิ่งนี้ให้ผลลัพธ์ในแง่ดีว่ามีความทุกข์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การทบทวนผลการศึกษา 12 ชิ้นที่ศึกษาการใช้ศิลปะบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งโดย Wood, Molassiotis และ Payne (2010) ได้ตรวจสอบอาการของอารมณ์ สังคม ร่างกาย การทำงานทั่วโลก และการควบคุมทางจิตวิญญาณของผู้ป่วยโรคมะเร็ง พวกเขาพบว่าศิลปะบำบัดสามารถปรับปรุงกระบวนการของการปรับสภาพจิตใจต่อการเปลี่ยนแปลง ความสูญเสีย และความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งที่รอดตายได้ นอกจากนี้ยังแนะนำว่าศิลปะบำบัดสามารถให้ความรู้สึก "สร้างความหมาย ""เนื่องจากกายภาพแห่งการสร้างสรรค์งานศิลปะ เมื่อได้รับศิลปะบำบัด ครั้ง สัปดาห์ละครั้ง แสดงว่าศิลปะบำบัดเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างพลังอำนาจส่วนบุคคล โดยช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าใจขอบเขตของตนเองเกี่ยวกับความต้องการของผู้อื่น ในทางกลับกัน ผู้ที่ได้รับการบำบัดด้วยศิลปะบำบัดรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นมากกว่าและพบว่าปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสนุกกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการบำบัดด้วยศิลปะบำบัด นอกจากนี้ การบำบัดด้วยศิลปะยังช่วยเพิ่มระดับแรงจูงใจ ความสามารถในการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพทางอารมณ์และร่างกาย และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก[28]

กล่าวโดยสรุป การบำบัดด้วยศิลปะบำบัดในระยะเวลาอันสั้นสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายมีศักยภาพในการปรับปรุงสภาพทางอารมณ์และคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ลดอาการรับรู้ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง [24]

การบรรเทาสาธารณภัย

การบำบัดด้วยศิลปะถูกนำมาใช้ในประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจมากมาย รวมถึงการบรรเทาภัยพิบัติและการแทรกแซงในภาวะวิกฤต นักศิลปะบำบัดได้ทำงานร่วมกับเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่หลังจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น กระตุ้นให้พวกเขาสร้างงานศิลปะตามประสบการณ์ของพวกเขา กลยุทธ์ที่แนะนำสำหรับการทำงานกับเหยื่อภัยพิบัติ ได้แก่ การประเมินความทุกข์หรือความผิดปกติของความเครียดหลังถูกทารุณกรรม (PTSD [29] ) การทำให้ความรู้สึกเป็นปกติ การสร้างแบบจำลองทักษะการเผชิญปัญหา การส่งเสริมทักษะการผ่อนคลาย การสร้างเครือข่ายการสนับสนุนทางสังคม และเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง . [30] : 137ff [31] : 120ff

ภาวะสมองเสื่อม

แม้ว่าศิลปะบำบัดจะช่วยแก้ปัญหาด้านพฤติกรรม แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถทางจิตที่แย่ลง [32]หลักฐานเบื้องต้นสนับสนุนผลประโยชน์เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต [33]ศิลปะบำบัดไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจำหรือระดับความผาสุกทางอารมณ์ [34]อย่างไรก็ตาม สมาคมโรคอัลไซเมอร์ระบุว่าศิลปะและดนตรีสามารถเสริมสร้างชีวิตของผู้คนและอนุญาตให้แสดงออก [35]

ออทิสติก

ศิลปะบำบัดจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในการช่วยเหลืออยู่กับความท้าทายของคนที่มีออทิสติกเป็นหลักฐานผ่านแหล่งข้อมูลเหล่านี้ [3]ศิลปะบำบัดอาจกล่าวถึงอาการหลักของความผิดปกติของออทิสติกสเปกตรัมโดยการส่งเสริมการควบคุมทางประสาทสัมผัส สนับสนุนการพัฒนาจิต และอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร [36]ศิลปะบำบัดยังเป็นความคิดที่จะส่งเสริมการเติบโตทางอารมณ์และจิตใจ โดยอนุญาตให้แสดงออก การสื่อสารด้วยภาพ และความคิดสร้างสรรค์ [37]

โรคจิตเภท

การทบทวนศิลปะบำบัดอย่างเป็นระบบในปี พ.ศ. 2548 เป็นการเพิ่มการรักษาโรคจิตเภทพบว่ามีผลไม่ชัดเจน [38] การบำบัดด้วยศิลปะกลุ่มได้รับการแสดงเพื่อปรับปรุงอาการของโรคจิตเภท ในขณะที่ผลการศึกษาสรุปว่าศิลปะบำบัดไม่ได้ปรับปรุง Clinical Global Impression หรือ Global Assessment of Functioning แต่พบว่าการใช้วัสดุศิลปะแบบสัมผัสเพื่อแสดงอารมณ์ การรับรู้ และการรับรู้ในกลุ่มลดรูปแบบที่น่าหดหู่และอาจช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเอง บังคับใช้ความคิดสร้างสรรค์และอำนวยความสะดวกในกระบวนการบำบัดแบบบูรณาการสำหรับผู้ที่เป็นโรคจิตเภท [39] จากการศึกษาพบว่าการบำบัดด้วยความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรมได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับโรคนี้ [24]

ผู้ป่วยสูงอายุ

การศึกษาที่ดำเนินการโดย Regev เปิดเผยว่าการบำบัดด้วยศิลปะผู้สูงอายุมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยภาวะซึมเศร้าสำหรับผู้สูงอายุ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็ตาม [24]การบำบัดแบบกลุ่มกับแต่ละเซสชันได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า

การบาดเจ็บและเด็ก

ศิลปะบำบัดอาจบรรเทาอารมณ์ที่เกิดจากบาดแผลเช่น ความละอายและความโกรธ [40]นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มพลังอำนาจของผู้รอดชีวิตจากบาดแผล[41]และควบคุมโดยการสนับสนุนให้เด็ก ๆ เลือกในงานศิลปะของพวกเขา [40]การบำบัดด้วยศิลปะนอกเหนือจากจิตบำบัดช่วยลดอาการบาดเจ็บได้มากกว่าการทำจิตบำบัดเพียงอย่างเดียว [42]

เนื่องจากความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจถูกเข้ารหัสด้วยสายตา[43] [44]การสร้างงานศิลปะอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเข้าถึงมัน ด้วยศิลปะบำบัด เด็ก ๆ อาจสามารถเข้าใจประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเขามากขึ้นและสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับบาดแผลที่ถูกต้องได้ การสัมผัสอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้เรื่องเล่าเหล่านี้อาจลดอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและฝันร้าย [40]คำสั่งซ้ำ ๆ ช่วยลดความวิตกกังวลและการสร้างคำบรรยายภาพช่วยให้ลูกค้าสร้างทักษะการเผชิญปัญหาและการตอบสนองของระบบประสาทที่สมดุล[45]ใช้ได้เฉพาะในการบำบัดด้วยศิลปะบำบัดระยะยาวเท่านั้น[24]

เด็กที่มีการบาดเจ็บที่มีประสบการณ์อาจได้รับประโยชน์จากกลุ่มศิลปะบำบัด รูปแบบกลุ่มมีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผู้รอดชีวิตพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เคยประสบสถานการณ์คล้ายคลึงกัน [41]การบำบัดด้วยศิลปะกลุ่มอาจเป็นประโยชน์ในการช่วยให้เด็กที่มีอาการบาดเจ็บได้รับความไว้วางใจและความนับถือตนเองทางสังคม [40]โดยปกติ ผู้เข้าร่วมที่ได้รับศิลปะบำบัดผ่านการแทรกแซงแบบกลุ่มจะมีประสบการณ์เชิงบวกและยืนยันความรู้สึกภายในของตนเอง [46]

ทหารผ่านศึกและโรคเครียดหลังบาดแผล

ศิลปะบำบัดมีประวัติการใช้ในการรักษาทหารผ่านศึก โดยสมาคมศิลปะบำบัดแห่งอเมริกาได้บันทึกการใช้ศิลปะบำบัดไว้ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1945 [47] เช่นเดียวกับแหล่งที่มาของการบาดเจ็บอื่นๆ ทหารผ่านศึกอาจได้รับประโยชน์จากศิลปะบำบัดเพื่อเข้าถึงความทรงจำและมีส่วนร่วม ด้วยการรักษา การทดลองแบบสุ่มกลุ่มควบคุมในปี 2559 พบว่าศิลปะบำบัดร่วมกับการบำบัดด้วยกระบวนการทางความคิด (CPT) มีประโยชน์มากกว่า CPT เพียงอย่างเดียว [48]ศูนย์การแพทย์กองทัพวอลเตอร์รีด ศูนย์ความเป็นเลิศแห่งชาติกล้าหาญและสถาบันสมาคมทหารผ่านศึกอื่น ๆ ใช้ศิลปะบำบัดเพื่อช่วยทหารผ่านศึกที่มีพล็อต [49]

ความทุกข์ระทม

นักบำบัดหลายคนใช้ศิลปะบำบัดเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เพิ่งประสบการเสียชีวิตของคนที่คุณรัก ข้อเสนอนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีที่ลูกค้ารู้สึกว่ายากที่จะพูดออกมาถึงความรู้สึกสูญเสียและตกใจ ดังนั้นอาจใช้วิธีสร้างสรรค์เพื่อแสดงความรู้สึกของตน [50]ตัวอย่างเช่น มีการใช้เพื่อให้เด็กแสดงความรู้สึกถึงการสูญเสียซึ่งพวกเขาอาจขาดวุฒิภาวะในการพูดและสื่อสารถึงความเศร้าโศกของพวกเขา

ความผิดปกติของการกิน

การบำบัดด้วยศิลปะอาจช่วยให้ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารมีการเพิ่มน้ำหนักและอาจช่วยให้มีระดับภาวะซึมเศร้า[51]บาดแผลหรือประสบการณ์ในวัยเด็กในเชิงลบจะส่งผลให้กลไกการเผชิญปัญหาที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นการกินผิดปกติส่งผลให้ลูกค้าอาจถูกตัดขาดจากอารมณ์ การปฏิเสธตนเอง และแยกออกจากจุดแข็งของพวกเขา[52]ศิลปะบำบัดอาจให้ทางออกสำหรับการสำรวจจุดแข็งเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้และอารมณ์ นี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะคนที่มีปัญหาเรื่องการกินอาจไม่รู้ว่าจะแสดงอารมณ์อย่างไร[52]

การบำบัดด้วยศิลปะอาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกค้าที่มีความผิดปกติในการรับประทานอาหาร เนื่องจากลูกค้าสามารถสร้างการนำเสนอด้วยภาพด้วยวัสดุที่เป็นศิลปะของความก้าวหน้า แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และจัดเตรียมวิธีการแสดงแรงกระตุ้นที่ไม่คุกคาม[52]บุคคลที่มีความผิดปกติในการกินมักจะพึ่งพากลไกการป้องกันตัวอย่างหนักเพื่อให้รู้สึกถึงการควบคุม เป็นสิ่งสำคัญที่ลูกค้าจะรู้สึกถึงอำนาจเหนือผลิตภัณฑ์ศิลปะของตนผ่านเสรีภาพในการแสดงออกและวัสดุศิลปะที่ควบคุมได้[52]ผ่านสื่อที่ควบคุมได้ เช่น ดินสอ ปากกามาร์คเกอร์ และดินสอสี พร้อมด้วยเสรีภาพในการเลือกสื่อ ลูกค้าที่มีความผิดปกติในการกินสามารถสร้างขอบเขตรอบประเด็นที่ทำให้ไม่สงบได้[53]

การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบอีกเรื่องหนึ่งพบหลักฐานที่สรุปได้ว่าศิลปะบำบัดส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยโรคอ้วน รวมทั้งช่วยให้มีอาการทางจิตต่างๆ [24]

ความท้าทายรายวันอย่างต่อเนื่อง

ผู้ที่ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางจิตหรือโรคทางกายก็ได้รับการทดสอบเช่นกัน ผู้ป่วยเหล่านี้มีความท้าทายในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง เช่น งานที่มีความเข้มข้นสูง ข้อจำกัดทางการเงิน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ ผลการวิจัยพบว่าศิลปะบำบัดช่วยลดระดับความเครียดและความเหนื่อยหน่ายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของผู้ป่วย [24]

การกักกัน

คำว่าการกักขัง ภายในศิลปะบำบัดและการตั้งค่าการรักษาอื่นๆ ถูกใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ภายในความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจระหว่างลูกค้าและผู้ให้คำปรึกษา [54] [55]คำนี้ยังได้รับการบรรจุภายในวิจัยศิลปะบำบัดกับการถือครองหรือหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังของปัญหาภายในขอบเขตของการแสดงออกของภาพเช่นชายแดนหรือเส้นรอบวงของที่จักรวาล [56]การสร้างแมนดาลาสำหรับการควบคุมอาการไม่ใช่แนวทางใหม่ในสาขาศิลปะบำบัด และมีการศึกษาจำนวนมากเพื่อประเมินประสิทธิภาพ [57] [58]

วัตถุประสงค์

สื่อศิลปะที่ใช้กันทั่วไปในศิลปะบำบัด

จุดประสงค์ของศิลปะบำบัดคือการรักษาอย่างหนึ่ง ศิลปะบำบัดสามารถนำไปใช้กับลูกค้าที่มีปัญหาทางร่างกาย จิตใจ หรืออารมณ์ โรคและความผิดปกติต่างๆ ได้สำเร็จ สามารถใช้สื่อทัศนศิลป์และศิลปะประเภทใดก็ได้ในกระบวนการบำบัด ซึ่งรวมถึงการวาดภาพ การวาดภาพ การแกะสลัก การถ่ายภาพ และศิลปะดิจิทัล [59]ศิลปะบำบัดอาจรวมถึงการออกกำลังกายเชิงสร้างสรรค์ เช่น การวาดหรือระบายสีตามอารมณ์ การเขียนบันทึกอย่างสร้างสรรค์ หรือการสร้างสรรค์รูปแบบฟรีสไตล์ [60]

กลไกการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่เสนอคือการกระตุ้นที่เพิ่มขึ้น และผลที่ตามมาก็คือ การเสริมสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท [61]

เซสชั่นทั่วไป

ผู้ชายตอบสนองต่อคำสั่งศิลปะบำบัด

ศิลปะบำบัดสามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ นักศิลปะบำบัดอาจแตกต่างกันเป้าหมายของศิลปะบำบัดและวิธีที่พวกเขาให้ศิลปะบำบัด ขึ้นอยู่กับความต้องการของสถาบันหรือลูกค้า หลังจากการประเมินจุดแข็งและความต้องการของลูกค้าแล้ว อาจมีการนำเสนอศิลปะบำบัดทั้งในรูปแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่มตามรูปแบบที่เหมาะสมกับบุคคลมากกว่า Dr. Ellen G. Horovitz นักศิลปะบำบัดเขียนว่า "หน้าที่ความรับผิดชอบของฉันแตกต่างกันไปในแต่ละงาน มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อทำงานเป็นที่ปรึกษาหรือในหน่วยงานซึ่งต่างจากการปฏิบัติส่วนตัว ในการปฏิบัติส่วนตัว จะซับซ้อนและเข้าถึงได้ไกลมากขึ้น หากคุณเป็นนักบำบัดโรคเบื้องต้น ความรับผิดชอบของคุณอาจเปลี่ยนแปลงจากงานสังคมสงเคราะห์ไปสู่การดูแลผู้ป่วยปฐมภูมิ ซึ่งรวมถึง การประนีประนอมกับแพทย์ ผู้พิพากษา สมาชิกในครอบครัวและบางครั้งแม้แต่สมาชิกในชุมชนที่อาจมีความสำคัญในการดูแลปัจเจกบุคคล”[62] เช่นเดียวกับนักจิตอายุรเวทคนอื่นๆ ในสถานปฏิบัติส่วนตัว นักศิลปะบำบัดบางคนพบว่ามันสำคัญที่จะต้องแน่ใจว่า สำหรับความสัมพันธ์ในการบำบัดนั้น การประชุมจะเกิดขึ้นในแต่ละสัปดาห์ในพื้นที่เดียวกันและในเวลาเดียวกัน [63]

การบำบัดด้วยศิลปะมักนำเสนอในโรงเรียนในรูปแบบของการบำบัดสำหรับเด็ก เนื่องจากมีความคิดสร้างสรรค์และความสนใจในศิลปะเป็นวิธีการแสดงออก ศิลปะบำบัดสามารถเป็นประโยชน์กับเด็กที่มีปัญหาหลากหลาย เช่น ความบกพร่องทางการเรียนรู้ ความผิดปกติของคำพูดและภาษา ความผิดปกติทางพฤติกรรม และความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ ที่อาจขัดขวางการเรียนรู้ของเด็ก [63]คล้ายกับนักจิตวิทยาคนอื่นๆ ที่ทำงานในโรงเรียน นักศิลปะบำบัดควรจะสามารถวินิจฉัยปัญหาที่ลูกค้าของนักเรียนต้องเผชิญ และปรับการรักษาและการแทรกแซงเป็นรายบุคคล นักศิลปะบำบัดทำงานอย่างใกล้ชิดกับครูและผู้ปกครองเพื่อใช้กลยุทธ์การบำบัด [63]

การประเมินตามศิลปะ

นักศิลปะบำบัดและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ใช้การประเมินทางศิลปะเพื่อประเมินสภาวะทางอารมณ์ ความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาการ นอกจากนี้ยังมีการประเมินทางจิตวิทยามากมายที่ใช้งานศิลปะเพื่อวิเคราะห์การทำงานของจิตประเภทต่างๆ (Betts, 2005) นักศิลปะบำบัดและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ได้รับการศึกษาเพื่อบริหารจัดการและตีความการประเมินเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยคำสั่งง่ายๆ และวัสดุศิลปะที่ได้มาตรฐานมากมาย (Malchiodi 1998, 2003; Betts, 2005) [64]การประเมินการวาดภาพครั้งแรกเพื่อจุดประสงค์ทางจิตวิทยาถูกสร้างขึ้นในปี 1906 โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมัน Fritz Mohr (Malchiodi 1998) [64]ในปี 1926 นักวิจัย Florence Goodenough ได้สร้างการทดสอบการวาดภาพเพื่อวัดความฉลาดในเด็กที่เรียกว่า Draw-A-Man Test (Malchiodi 1998) [64]กุญแจสำคัญในการตีความการทดสอบ Draw-A-Man คือ ยิ่งมีรายละเอียดที่เด็กรวมอยู่ในภาพวาดมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น (Malchiodi, 1998) [64] Goodenough และนักวิจัยคนอื่นๆ ตระหนักว่าการทดสอบเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพมากพอๆ กับความฉลาด (Malchiodi, 1998) [64]การประเมินศิลปะจิตเวชอื่น ๆ อีกหลายแห่งถูกสร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1940 และถูกนำมาใช้นับตั้งแต่นั้นมา (Malchiodi 1998) [64]

อย่างไรก็ตาม นักศิลปะบำบัดหลายคนหลีกเลี่ยงการทดสอบวินิจฉัย และจริงๆ แล้วนักเขียนบางคน (โฮแกน 1997) ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของนักบำบัดที่ใช้สมมติฐานเชิงการตีความ อย่างไรก็ตาม เอกสารล่าสุดได้เน้นย้ำถึงประโยชน์ของแนวทางที่ได้มาตรฐานในการวางแผนการรักษาและการตัดสินใจทางคลินิก เช่น หลักฐานจากแหล่งข้อมูลนี้ ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของการประเมินศิลปะบำบัด:

เครื่องมือวิจัยการประเมินจักรวาล

ในการประเมินนี้คนถามว่าจะเลือกบัตรจากดาดฟ้าที่มีแตกต่างกันมันดาลา (การออกแบบที่แนบมาในรูปทรงเรขาคณิต) และจากนั้นจะต้องเลือกสีจากชุดของบัตรสีหนึ่ง จากนั้นบุคคลนั้นจะถูกขอให้ดึงมันดาลาจากการ์ดที่พวกเขาเลือกด้วยสีพาสเทลน้ำมันของสีที่พวกเขาเลือก จากนั้นให้ศิลปินอธิบายว่ามีความหมาย ประสบการณ์ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมันดาลาที่พวกเขาวาดขึ้นหรือไม่ การทดสอบนี้อิงตามความเชื่อของ Joan Kellogg ผู้ซึ่งเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ระหว่างภาพ รูปแบบ และรูปร่างในแมนดาลาที่ผู้คนวาดและบุคลิกของศิลปิน การทดสอบนี้จะประเมินและให้เบาะแสเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางจิตใจของบุคคลและสภาพจิตใจในปัจจุบัน (Malchiodi 1998) มันดาลามีต้นกำเนิดในพระพุทธศาสนาการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณช่วยให้เราเห็นความเชื่อมโยงกับศิลปะข้ามบุคคล

บ้าน–ต้นไม้–บุคคล


ภาพวาดคนอายุ ขวบ

ในการทดสอบบ้าน-ต้นไม้-คน ลูกค้าจะถูกขอให้วาดภาพที่มีบ้าน ต้นไม้ และบุคคล หลังจากนั้นนักบำบัดจะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับแต่ละบ้าน ตัวอย่างเช่น โดยอ้างอิงถึงบ้าน Buck (1984) ได้เขียนคำถามเช่น “บ้านนี้มีความสุขไหม” และ “บ้านทำมาจากอะไร” เกี่ยวกับต้นไม้นั้น คำถามได้แก่ “ต้นไม้ต้นนั้นอายุเท่าไหร่?” และ “ต้นไม้มีชีวิตอยู่หรือไม่” เกี่ยวกับบุคคลนั้น คำถามได้แก่ “บุคคลนั้นมีความสุขหรือไม่” และ “คนนั้นรู้สึกอย่างไร”

แบบทดสอบบ้าน-ต้นไม้-คน (HTP) เป็นการทดสอบบุคลิกภาพเชิงคาดการณ์ ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่ผู้ทำแบบทดสอบตอบสนองหรือให้สิ่งเร้าที่คลุมเครือ เป็นนามธรรม หรือไม่เป็นไปตามโครงสร้าง (มักอยู่ในรูปแบบของรูปภาพหรือภาพวาด) เป็นการวัดลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลผ่านการตีความภาพวาดและการตอบคำถาม การรับรู้ในตนเอง และทัศนคติ [65]

ศิลปะภายนอก

ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาศิลปะบำบัดกับศิลปะภายนอกเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง คำว่า 'ศิลปะ Brut' เป็นครั้งแรกประกาศเกียรติคุณโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสฌอง Dubuffet เพื่ออธิบายศิลปะที่สร้างขึ้นนอกขอบเขตของวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ Dubuffet ใช้คำว่า 'art brut' เพื่อเน้นการปฏิบัติทางศิลปะของผู้ป่วยที่ลี้ภัยที่วิกลจริต คำแปลภาษาอังกฤษ "outsider art" ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักวิจารณ์ศิลปะ Roger Cardinal ในปี 1972 [66] [67]

ทั้งสองคำถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากผลกระทบทางสังคมและส่วนตัวต่อทั้งผู้ป่วยและศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะบำบัดถูกกล่าวหาว่าไม่ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางศิลปะและความหมายของผลงานของศิลปินมากพอ โดยพิจารณาจากมุมมองทางการแพทย์เท่านั้น สิ่งนี้นำไปสู่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติงานศิลปะจากบุคคลภายนอก ทั้งหมดในขณะที่กล่าวถึงประเด็นการรักษาในด้านการอภิปรายเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ศิลปะคนนอกในทางที่ได้รับการตัดสินในทางลบเนื่องจากการติดฉลากของการทำงานของศิลปินคือสมศิลปินอัจฉริยะ = = บ้านอกจากนี้ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเกี่ยวกับคำว่าศิลปะภายนอกยังมีความเข้าใจผิดอยู่บ้าง[68] [69] แม้ว่าศิลปินภายนอกจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบศิลปะเฉพาะ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าเชิงบวกให้กับทั้งผลงานของศิลปินและการพัฒนาตนเองได้ แต่ก็สามารถกักขังเขาไว้ภายในขอบเขตของระบบเองได้ [70] [71]


https://hmong.in.th/wiki/Therapeutic_art





2.2.2 ประวัติศาสตร์ด้านศาสนากับโรคลมชัก

 2.2.2 History of religion and epilepsy

2.2.2.1พุทธศาสนา



2.2.2.1 การอุปัฏฐากภิกษุอาพาธ


อานิสงส์แห่งการอุปัฏฐากภิกษุอาพาธ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า:
“โย ภิกขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย”
“ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้”
การให้การพยาบาลหรือบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของพระสงฆ์ เท่ากับการได้อุปัฏฐากพระพุทธองค์เลยทีเดียว ตามความเชื่อผู้คนส่วนมากแล้วมึความเชื่อและศรัทธาว่า ” ถ้าหากผู้ใดที่ได้ถวายอาหารหรือสิ่งของต่อพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญที่เกิดจากการถวายทานนั้น มีอานิสงส์มากจริงๆ ถึงขนาดผู้นั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้เป็นสาวก หรือ อัครสาวก หรือ ปราถนาพุทธภูมิ ก็ได้สมดังใจปรารถนาเลย”ตามพระพุทธดำรัสที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การที่เราดูแลช่วยเหลือปรนิบัติต่อพระภิกษุผู้อาพาธ เท่ากับว่าเราได้สร้างกุศลต่อพระพุทธองค์โดยตรงเลยทีเดียว ดังนี้ ผลบุญมหาศาลจักบังเกิดขึ้นแก่เราผู้ได้ปรนนิบัติอุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ผู้อาพาธ เปรียบเสมือนเราได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้านั่นเอง
ดังนั้น การที่เรามีโอกาสหรือตั้งใจที่จะปรนิบัติดูแลช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์ที่ป่วยไข้ อาพาธ แล้วเราน้อมจิตของเราระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะส่งผลต่อจิตใจอันเป็นกุศลเป็นอย่างมาก และอานิสสงส์ดังกล่าวนั้น บุญจากการอุปัฏฐากพระพุทธองค์ย่อมมีกำลังกุศลมหาศาล หากตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้เราเจริญในธรรมในพระศาสนาของพระพุทธองค์แล้ว กำลังแห่งความตั้งใจนั้นก็ย่อมมีมากมาย และส่งผลให้เราก้าวหน้าในธรรม มีพละและอินทรีย์ เพื่อความหลุดพ้นในโอกาสภายหน้าได้เป็นแน่แท้ เหตุดังนั้น พวกเราอย่ามัวประมาทอยู่เลย พึงกระทำมหากุศลดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ครอบครัว และสหธรรมิกของเราโดยพลัน ฯ
อานิสงส์การบริจาคเงินบำรุงภิกษุสามเณรอาพาธ
๑. ชื่อว่าเสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด”
๒. อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้
๓. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม
๔. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี
๕. เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้
๖. จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคลแก่ ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
๗. คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด
๘. ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร
๙. ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน
๑๐. ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก
๑๑. จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
๑๒. มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้
๑๓. จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง
๑๔. จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
๑๕. จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล
๑๖. จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย
๑๗. จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม
๑๘. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน
๑๙. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้

 



อันตรายิกธรรม
อันตรายิกธรรม (อ่านว่า อันตะรายิกะทำ) แปลว่า ธรรมที่เข้ามาในระหว่างธรรมอันกระทำอันตราย คือสิ่งที่สอดแทรกเข้ามาขัดขวางกลางคัน
อันตรายิกธรรม หมายถึงสาเหตุที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการทำความดี ต่อการบรรลุธรรม เป็นต้น มี 5 อย่าง คือ กรรม กิเลส วิบาก อุปวาทะ (การใส่ร้ายพระอริยะ) และอาณาวีติกกมะ (การต้องอาบัติ) เช่นการฆ่าบิดาเป็นต้น ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเป็นสาเหตุขัดขวางให้ผู้ทำบรรลุนิพพานไม่ได้ มิจฉาทิฐิซึ่งเป็นกิเลสเป็นเหตุขัดขวางมิให้เข้าถึงคุณความดีใดๆ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานหรือผู้พิการบางประเภทเป็นต้น ซึ่งเป็นวิบากกรรมเป็นเหตุขัดขวางให้อุปสมบทไม่ได้ การใส่ร้ายพระอริยะเป็นสาเหตุขัดขวางให้บรรลุธรรมขั้นสูงไม่ได้ และการต้องอาบัติเป็นเหตุขัดขวางมิให้เข้าหมู่คณะได้ตามปกติเป็นต้น
อุปสัมปทาเปกข์พึงประนมมือ เดินเข่าถอยหลังออก พอพ้นเขตสงฆ์แล้ว ยืนหันหลังประนมมือเดินไปทางหน้าพระอุโบสถ อย่าเหยียบผ้าอาสนะผืนเล็กที่ปูไว้ และหันหน้าเข้าหาพระประธาน ครั้นแล้วพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์จะสวดสมมติตน แล้วออกไปถามอันตรายิกธรรม เมื่อท่านถาม พึงตอบดังนี้
ถาม - กุฏฐัง (เธอเป็นโรคเรื้อนหรือไม่) ตอบ- นัตถิ ภันเต (ไม่ใช่ครับ) ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ปรารภเหตุคนป่วยออกบวชเพื่อให้ท่านรักษา ครั้นหายแล้วก็ลาสิกขา
ถาม - คัณโฑ (เธอเป็นโรคฝีชนิดเป็นทั่วตัวหรือไม่) ตอบ- นัตถิ ภันเต ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ปรารภเหตุคนป่วยออกบวชเพื่อให้ท่านรักษา ครั้นหายแล้วก็ลาสิกขา
ถาม - กิลาโส (เธอเป็นโรคกลากหรือไม่) ตอบ- นัตถิ ภันเต ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ปรารภเหตุคนป่วยออกบวชเพื่อให้ท่านรักษา ครั้นหายแล้วก็ลาสิกขา
ถาม - โสโส (เธอเป็นโรคมองคร่อ คือ มีเสมหะแห้งอยู่ในก้านของหลอดลมหรือไม่) มองคร่อ [-คฺร่อ] น. โรคหลอดลมโป่งพอง มีเสมหะแห้งอยู่ในช่องหลอดลม ทําให้มีอาการไอเรื้อรัง ห้ามผู้ที่เป็นโรคนี้บวชเป็นภิกษุ. (อ. bronchiectasis); โรคทางเดินหายใจในสัตว์กีบเดียววงศ์ Equidae มีอาการไข้สูง เป็นฝีที่ต่อมน้ำเหลืองใต้คางและบริเวณคอหอยอาจติดต่อถึงคนได้เขียนเป็น มงคล่อ ก็มี. (อ. strangles).
ตอบ- นัตถิ ภันเต ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ปรารภเหตุคนป่วยออกบวชเพื่อให้ท่านรักษา ครั้นหายแล้วก็ลาสิกขา
ถาม - อะปะมาโร (เธอเป็นโรคลมบ้าหมูหรือไม่) ตอบ- นัตถิ ภันเต ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ปรารภเหตุคนป่วยออกบวชเพื่อให้ท่านรักษา ครั้นหายแล้วก็ลาสิกขา
ถาม - มะนุสโสสิ๊ (เธอเป็นมนุษย์ ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต (ใช่ครับ) ปรารภเหตุพญานาคแปลงมาบวชเพื่อที่จะได้มีบุญ พ้นจากกำเนิดพญานาค แต่กำเนิดพญานาคมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา
ถาม - ปุริโสสิ๊ (เธอเป็นผู้ชาย ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ปรารภเหตุบัณเฑาะก์ คนลักเพศ คนสองเพศออกบวช(ผู้ที่มีอัวยวะเพศชาย และ หญิง ในตัวคนเดียวกัน ไม่ใช่ กะเทย แบบในปัจจุบัน) ทำให้เกิดความวุ่นวายและติเตียนในหมู่สงฆ์
ถาม - ภุชิสโสสิ๊ (เธอเป็นไทแก่ตัวเอง ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ปรารภเหตุทาสหนีออกบวชแล้วเจ้านายมาเจอตอนเป็นพระภิกษุแล้ว ทำให้ชาวบ้านติเตียนว่า ทาสหนีออกบวชทำให้พระศาสนามัวหมอง
ถาม - อะนะโณสิ๊ (เธอไม่เป็นหนี้ใคร ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ปรารภเหตุลูกหนี้ออกบวชแล้วเจ้าหนี้มาเจอตอนเป็นพระภิกษุแล้ว ทำให้ชาวบ้านติเตียนว่า ลูกหนี้หนีออกบวชทำให้พระศาสนามัวหมอง
ถาม - นะสิ๊ ราชะภะโฏ (เธอไม่ใช่ข้าราชการที่ยังมีภาระต้องรับผิดชอบ ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ผู้ ทูลขอเรื่องนี้คือ พระเจ้าพิมพิสาร ปรารภเหตุเหล่าข้าราชการ ทหารหนีออกบวชเมื่อข้าราชการเหล่านั้นถูกส่งไปปราบปรามความไม่สงบที่ชายแดน แคว้นมคธ
ถาม - อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ (บิดา มารดาของเธออนุญาต ใช่ไหม)ตอบ- อามะ ภันเต ผู้ทูลขอเรื่องนี้คือพระเจ้าสุทโธนะพุทธบิดา ปรารภเหตุการออกบวชของสามเณรราหุล
ถาม - ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ (เธออายุครบ ๒๐ ปี ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ปรารภ เหตุพวกเด็กชายสัตตรสวัคคีย์บวช แต่ด้วยความที่เป็นเด็กจึงไม่สามารถอดทนต่อความเย็น ร้อน หิว กระหาย ไม่อดกลั้นต่อสัมผัส ฯลฯ ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในหมู่สงฆ์
ถาม - ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง (เธอมีบาตรและจีวรครบ ใช่ไหม) ตอบ- อามะ ภันเต ปรารภ เหตุภิกษุบวชกุลบุตรผู้ไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร หลังบวชแล้วภิกษุผู้บวชใหม่ก็เปลือยกาย เที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน
ถาม - กินนาโมสิ (เธอชื่ออะไร) ตอบ- อะหัง ภันเต [ฉายาทางพระของผู้บวช] นามะ (กระผมชื่อ....)
ถาม - โก นามะ เต อุปัชฌาโย (พระอุปัชฌาย์เธอชื่ออะไร) ตอบ- อุปัชฌาโย เม ภันเต อายัสสมา [ฉายาทางพระของพระอุปัชฌาย์] นามะ (พระอุปัฌาย์กระผมชื่อ....)


 


2.2.2.2 คริสตศาสนา




2.2.2.2 The transfiguration Raphael (Raffaelo Santi, 1483-1520)

พระเยซูทำการอัศจรรย์
พระเยซูทำการอัศจรรย์เพื่อแสดงให้เห็นวิธีที่พระองค์จะใช้ฤทธิ์อำนาจเมื่อเป็นกษัตริย์
พระเจ้ามอบอำนาจให้พระเยซูทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีมนุษย์คนอื่นทำได้. พระเยซูทำการอัศจรรย์ที่โดดเด่นหลายอย่าง บ่อยครั้งทำต่อหน้าฝูงชน. การอัศจรรย์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระเยซูมีอำนาจเหนือศัตรูและเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์ไม่มีวันจะขจัดได้. ขอเราพิจารณาบางตัวอย่าง.ความหิว. การอัศจรรย์ครั้งแรกของพระเยซูเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นอย่างดี. ในอีกสองโอกาส พระองค์ทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนหลายพันคนที่หิวกระหายด้วยขนมปังไม่กี่อันและปลาไม่กี่ตัว. ทั้งสองเหตุการณ์นั้น มีอาหารมากเกินพอสำหรับทุกคน.ความเจ็บป่วย. พระเยซูทรงรักษา “โรคทุกชนิดรวมทั้งความทุพพลภาพทุกอย่าง” ของประชาชน. (มัดธาย 4:23) พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดคนหูหนวกคนโรคเรื้อนและโรคลมชัก. พระองค์รักษาคนอัมพาตคนง่อยและคนแขนขาพิการด้วย. ไม่มีความเจ็บป่วยใด ๆ ที่เกินกว่าพระองค์จะรักษาได้.สภาพอากาศที่เลวร้าย. เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกกำลังนั่งเรือข้ามทะเลแกลิลี ได้เกิดลมพายุกล้า. เหล่าสาวกตกใจกลัว. พระเยซูเพียงแต่มองลมพายุนั้นแล้วตรัสว่า “จงสงบเงียบเถิด!” ทันใดนั้น ทุกสิ่งก็สงบเงียบ. (มาระโก 4:37-39) ในอีกโอกาสหนึ่ง พระองค์ทรงเดินบนน้ำขณะที่มีพายุใหญ่น่ากลัว.—มัดธาย 14:24-33กายวิญญาณชั่วร้าย. เหล่ากายวิญญาณชั่วร้ายมีอำนาจยิ่งกว่ามนุษย์มาก. หลายคนไม่สามารถหลุดพ้นอำนาจครอบงำของศัตรูที่ชั่วเหล่านี้ของพระเจ้า. กระนั้น ในหลายโอกาสเมื่อพระเยซูสั่งให้มันออกไป พระองค์ก็ทำให้มันไม่มีอำนาจครอบงำคนนั้นอีก. พระองค์ไม่กลัวกายวิญญาณเหล่านี้. ตรงกันข้าม พวกมันรู้ว่าพระองค์มีอำนาจและกลัวพระองค์.ความตาย. นับว่าเหมาะที่เรียกความตายว่าเป็น “ศัตรูตัวสุดท้าย” เนื่องจากไม่มีมนุษย์คนใดเอาชนะศัตรูตัวนี้ได้. (1 โครินท์ 15:26) กระนั้น พระเยซูทรงปลุกคนให้เป็นขึ้นจากตาย เช่น ทรงปลุกชายหนุ่มแล้วมอบให้แม่ของเขาที่เป็นม่าย และปลุกเด็กสาวให้พ่อแม่ของเธอที่โศกเศร้า. ในเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด พระเยซูทรงปลุกลาซะโรสหายที่รักให้เป็นขึ้นจากตายต่อหน้าฝูงชนที่โศกเศร้า ทั้ง ๆ ที่เขาตายไปเกือบสี่วันแล้ว! แม้แต่ศัตรูที่หมายมั่นจะฆ่าพระเยซูมากที่สุดก็ยังยอมรับว่าพระองค์ทำการอัศจรรย์นี้.—โยฮัน 11:38-4812:9-11เหตุใดพระเยซูจึงทำการอัศจรรย์เหล่านี้ถึงอย่างไรทุกคนที่พระองค์ทรงช่วยก็ต้องตายในที่สุดมิใช่หรือใช่ แต่การอัศจรรย์ของพระเยซูก่อประโยชน์ในระยะยาว. การอัศจรรย์เหล่านั้นพิสูจน์ว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการปกครองของมาซีฮาจะเกิดขึ้นได้จริง. ไม่ต้องสงสัย กษัตริย์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งสามารถขจัดความหิวความเจ็บป่วยสภาพอากาศที่เลวร้ายกายวิญญาณชั่วร้ายหรือกระทั่งความตายได้. พระองค์แสดงให้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงมอบอำนาจให้พระองค์ทำทุกสิ่ง.—จากหนังสือมัดธายมาระโกลูกาและโยฮัน
มัทธิว 4:23
23หลังจากนั้น พระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี+สอนตามที่ประชุมของชาวยิว+ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดของประชาชน+24 ทำให้ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรีย ผู้คนจึงแห่กันมาหาท่าน พวกเขาพาคนป่วย คนที่ทนทุกข์ทรมานด้วยโรคต่าง ๆ+คนที่ถูกปีศาจสิง+คนเป็นโรคลมชัก+และคนเป็นอัมพาตมาด้วย แล้วท่านก็รักษาพวกเขาทุกคนให้หาย 25 คนมากมายจึงติดตามพระเยซูไป พวกเขามาจากแคว้นกาลิลี เขตเดคาโปลิส* กรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
2.2.2.3อิสลาม
 

 




2.2.2.3.1 Unani Symbol that appears at the beginning of or in many Islamic writings about medicine.

สัญลักษณ์ Unani ซึ่งปรากฎในจุดเริ่มต้น แห่ง หรือ ใน หลากหลายบทความเกี่ยวกับยารักษาโรคทุก ๆ โรคนั้นมียารักษา
อิบนุกอยยิม อัลเญาซียะห์
     รายงานจากท่านมุสลิมในหนังสือ “ซอเฮียะห์” จากท่านอบีซุเบร จากท่านญาบิร บินอับดุลลอฮฺ จากท่านนบี  กล่าวว่า
“ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา ถ้าหากยานั้นถูกกับโรค โรคนั้นก็จะหายได้ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ ”
 (ซอเฮียะห์มุสลิม69/2204)
     ใน “ซอฮีเฮน” จากท่านอะตออ์ จากอบีฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนบี  ได้กล่าวว่า
 “พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ส่งโรคใดๆ มา นอกจากจะให้มียารักษาสำหรับโรคนั้นๆ มาด้วย”
(ซอเฮียะห์บุคอรี5678)
     ในหนังสือ “มุสนัตอิหม่ามอะห์หมัด” มีหะดีษจากท่านซิยาด บินอะลาเกาะฮฺ จากท่านอุซามะฮฺ บินชะรีก กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้มีชาวบ้านนอกกลุ่มหนึ่งมาหาท่านรอซูล
แล้วกล่าวว่า “โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ  เราต้องมีการเยียวยารักษาด้วยหรือ”
      ท่านรอซูล  กล่าวตอบว่า “แน่นอน โอ้บ่าวของพระเจ้า ท่านต้องมีการเยียวยารักษา เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงให้เกิดโรคขึ้นในโลกนี้ นอกจากพระองค์จะให้มีวิธีการรักษามันมาด้วย นอกจากโรคๆ เดียวเท่านั้น”
พวกเขาถามว่า “โรคอะไรหรือ”
ท่านนบี  ตอบว่า “โรคชรา”
(ซอเฮียะห์อะห์หมัด278/4)
และในอีกคำพูดหนึ่งกล่าวว่า
 “พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ทรงให้มีโรคใดเกิดขึ้น นอกจากจะให้มีวิธีการรักษามาด้วย ผู้ที่รู้ก็จะรู้วิธีการรักษา ผู้โง่เขลาก็จะไม่รู้วิธีรักษา”
(ซอเฮียะห์อะห์หมัด278/4)
ในหนังสือ “มุสนัต” จากหะดีษของท่านอิบนิมัสอูด เป็นหะดีษมัรฟัวอ์ กล่าวว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ส่งโรคลงมา นอกจากพระองค์จะส่งยารักษามาด้วย ผู้ที่รู้ก็จะรู้วิธีการรักษานั้น ผู้โง่เขลาก็จะไม่รู้วิธีการรักษา”
(ซอเฮียะห์อะห์หมัด413377/1)
ในหนังสือ “มุสนัต” และ “สุนัน” จากอบีคุซามะฮฺ เล่าว่า
“โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ท่านเห็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่เราได้ทำการปัดเป่าไหม และท่านได้เห็นการรักษาที่ทำการรักษาหรือไม่ และการป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่เราทำการป้องกัน เหล่านั้น เป็นสิ่งที่ต่อต้านกับลิขิตของอัลลอฮฺ  หรือเปล่า”
ท่านนบี  ตอบว่า “ไม่หรอก นั่นแหละเป็นลิขิตของพระองค์อัลลอฮฺ .”
(ซอเฮียะห์อะห์หมัด3/421 หมายเลข 154111541215413)
เราได้รวบรวมหะดีษเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสาเหตุและผลที่ได้รับจากสาเหตุนั้น เพื่อเป็นการลบล้างสิ่งที่บางคนได้ปฏิเสธมัน มีแนวคิดหลายแนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้
          หนึ่ง   มีแนวคิด คำพูดที่ว่า “ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา” หมายถึง เป็นความจริงที่กล่าวโดยรวม แม้แต่ผู้ที่ดื่มยาพิษที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ตาม และมีหลายโรคที่แม้แต่แพทย์ก็ไม่สามารถจะขจัดรักษามันได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์อัลลอฮฺ  ก็ยังทรงให้มียาหรือวิธีที่จะรักษามันให้หายได้ แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง และบางครั้งไม่อาจจะไปถึงได้เลย เนื่องจากไม่มีความรู้ใดๆ ในสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย นอกจากจะเป็นความรู้ที่พระองค์อัลลอฮฺ  ทรงอนุญาตให้เขาได้รู้เท่านั้น
         ด้วยเหตุนี้เอง ท่านนบี  จึงได้กล่าวว่า โรคนั้นจะหายเมื่อมันได้ยาที่ถูกกกับโรคนั้นๆ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งเดี่ยว นอกจากจะมีสิ่งที่ต้านหรือตรงข้ามมันอยู่เสมอ และทุกๆ โรคนั้นก็มีตัวต้านของมันอยู่ ซึ่งสามารถจะนำมาเป็นยารักษามันได้ ท่านนบี  จึงได้ผูกพันการหายของโรคไว้กับความเหมาะสมพอดีระหว่างโรคกับยา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำต้องมีเสมอ ไม่ใช่มียาเพียงอย่างเดียวจะเป็นการเพียงพอ และตัวยาเองถ้าหากมีฤทธิ์แรงเกินไป หรือมีจำนวนขนาดที่มากเกินไปกว่าตัวโรคเองแล้ว ตัวมันเองก็จะทำให้เกิดเป็นอันตรายหรือเป็นโรคใหม่ขึ้นมาอีก แต่เมื่อมันมีน้อยเกินไปก็ไม่สามารถจะรักษาโรคให้หายได้เช่นกัน
          ดังนั้น การรักษาโรคจึงมีข้อจำกัดอยู่เสมอ ถ้าหากยานั้นไม่ถูกกับโรค หรือยานั้นไม่พบกับตัวโรคมันก็ไม่หายหรือถ้าเวลาไม่เหมาะสมพอก็ไม่หายเช่นกัน หรือถ้าหากร่างกายไม่ยอมรับยานั้น หรือร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะทนยาได้ หรือมีข้อห้ามบางอย่างที่ไม่ให้ใช้ยานั้น โรคนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้หายได้ แต่เมื่อใดก็ตามมีการพบกัน มีการทำปฏิกิริยากันอย่างเหมาะสมระหว่างยากับโรค โรคนั้นก็จะหายได้ด้วยอนุมัติของพระองค์อัลลอฮฺ

         สอง   มีแนวคิดว่า หะดีษเหล่านี้ กล่าวโดยรวม แต่ความจริง มีความหมายเฉพาะ โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดีษเหล่านี้คือ พระองค์อัลลอฮฺ  จะไม่ทรงส่งโรคใดๆ ลงมา นอกจากมียาที่สามารถรักษาโรคนั้นๆ ได้ ดังนั้น โรคที่ไม่มียาที่เข้ากับมันได้ จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับหะดีษนี้ ดังเช่นที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับชนเผ่าอ๊าดที่ว่า
ความว่า “และมันได้ทำลายทุกๆ สิ่ง ทุกอย่าง ตามคำสั่งของอัลลอฮฺ”
(อัลอะห์กอฟ25)
หมายความว่า ทุกๆ อย่างสามารถที่จะถูกทำลายได้เสมอ โดยลมสามารถเป็นผู้ทำลายมันได้
         ผู้ใดก็ตามที่ได้พิจารณาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้ จะพบว่าทุกๆ สิ่งจะมีสิ่งตรงข้ามกับมัน หรือต้านมันอยู่เสมอ มีการทำลายล้างซึ่งกันและกัน และเข้าควบคุมซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮฺ  และวิทยปัญญาของพระองค์ ความเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์ที่ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเทียบได้ ไม่มีสิ่งใดจะต้านทานพระองค์ได้ พระองค์คือผู้เพียบพร้อมแล้วด้วยตัวของพระองค์เอง ในขณะที่สิ่งอื่นๆ นอกจากนั้น ต้องพึ่งพาพระองค์เสมอ
         ในหะดีษที่ถูกต้องเหล่านี้ ใช้ให้เรารักษาคนป่วยด้วยวิธีการต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธการมอบหมายต่อพระองค์อัลลอฮฺ  เช่นเดียวกับการไม่ปฏิเสธการรักษาโรคแห่งความหิว กระหาย ความร้อน ความเย็น ฯลฯ ด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกันกับมัน ยิ่งกว่านั้นการเชื่อถือในความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าจะไม่สมบูรณ์ได้ นอกจากจะต้องรู้จักการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยไม่สบายต่างๆ และรักษาความเจ็บป่วยไม่สบายนั้นด้วยแนวทางที่อัลลอฮฺ  ทรงกำหนดไว้ การไม่เชื่อฟังไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่งจึงทำให้การมอบหมายต่อพระองค์อัลลอฮฺ  เสียไป เช่นเดียวกัน ยังเป็นการทำให้วิธีการและวิทยปัญญาที่ดีมีประโยชน์ของพระองค์ต้องสูญเสียไปด้วย
         การทิ้งการรักษาโดยไปคิดว่าเป็นการมอบหมายที่ดีนั้น ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริงแล้วการละทิ้งการรักษา คือ การปฏิเสธการมอบหมายต่างหาก เพราะการมอบหมายที่แท้จริงคือ หัวใจที่พึ่งพิงอัลลอฮฺ  ว่าพระองค์จะให้สิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์เสมอ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพระองค์คือผู้ที่จะปัดป้องสิ่งที่จะมาทำอันตรายเขา ทั้งโลกนี้และโลกหน้า การพึ่งพิงต่อพระเจ้าด้วยการทำตามที่พระองค์แนะนำไว้ แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่ตรงที่สุด มิฉะนั้น จะกลายเป็นการละทิ้งวิทยปัญญา และกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั่นเอง
หะดีษเหล่านี้ จึงเป็นการปฏิเสธผู้ที่ละทิ้งยา หรือการรักษาทั้งหลาย และกล่าวว่า
 “ถ้าหากการหายนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้แล้ว การใช้ยาหรือการรักษาก็ไม่มีประโยชน์อันใด และถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺ ไม่ได้ลิขิตให้หายแล้ว การรักษาก็ไม่มีประโยชน์อันใดเช่นกัน”
หรือคำกล่าวที่ว่า
“โรคนั้นมาจากพรองค์อัลลอฮฺ ลิขิตให้เป็น และลิขิตของอัลลอฮฺ นั้นไม่มีผู้ใดจะต้านทานหรือเปลี่ยนแปลงได้”
        ดังเช่นที่พวกชนเผ่าเร่ร่อนบ้านนอกได้ถามท่านนบีส่วนบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านนบี  นั้นต่างรู้ซึ้งถึงเจตนาของพระผู้เป็นเจ้า วิทยปัญญาของพระองค์ และคุณลักษณะของพระองค์ดีอยู่แล้ว จึงไม่ถามคำถาม หรือไม่ได้คิดแบบที่คนบ้านนอกเหล่านั้นคิด และท่านนบี  ก็ได้ตอบชาวบ้านนอกเหล่านั้น อย่างพอเพียง และทำให้ความไม่สบายใจของเขาหายไปทันที โดยกล่าวว่า
        การใช้ยาต่างๆ การเสกเป่าด้วยกุรอานเหล่านี้ คือ ลิขิตที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ  อยู่แล้วนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะหลุดพ้นไปจากลิขิตของอัลลอฮฺ ได้ นอกจากจะไปอยู่ในลิขิตอีกอันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางหลีกเลี่ยงให้พ้นไปจากลิขิตของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะไปทางใดก็ตาม เช่น การตอบโต้หรือแก้ไขความหิวโดยการทำให้อิ่ม การดับกระหายความร้อน ความเย็น ด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน เช่นเดียวกับการตอบโต้ศัตรูด้วยการญิฮาด และทุกๆ อย่าง นี่คือ ลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
         วิธีการหนึ่งที่จะตอบโต้กับคำถามเหล่านี้ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การคิดแบบนี้จะทำให้ท่านไม่สามารถจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ และไม่สามารถจะป้องกันตัวเองให้พ้นจากอันตรายต่างๆ ได้ เนื่องจากประโยชน์หรืออันตรายต่างๆ เป็นสิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้แล้วนั่นเอง ถึงอย่างไรมันก็ต้องเกิดขึ้น และถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺ  ไม่ได้ลิขิตไว้ ถึงอย่างไรมันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าอย่างนี้ ทั้งโลกและศาสนาก็จะพังทลาย โลกจะวิบัติ ผู้ที่พูดอย่างนี้ไม่ข้าใจถึงความจริงแท้ พวกเขากล่าวถึงลิขิตของอัลลอฮฺ  เพื่อที่จะปฏิเสธความจริงที่เขาเห็นเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับที่พวกตั้งภาคีได้กล่าวว่า
ความว่า “ถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว เราก็จะไม่เป็นพวกที่ตั้งภาคีอย่างแน่นอน รวมทั้งพ่อของเราด้วย”
(อัลอันอาม148)
และคำกล่าวที่ว่า
ความว่า “ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว เราก็จะไม่กราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากพระองค์ และพ่อของเราด้วยเช่นกัน”
(อันนะฮฺลุ35)
          ที่พวกเขากล่าวอย่างนี้ ก็เพื่อที่จะปฏิเสธหลักฐานที่อัลลอฮฺ  ให้เห็น เมื่อมีศาสดามายังพวกเขา และคำตอบนี้ยังสามารถตอบคำถาม กลุ่มที่สามที่ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงที่ว่า พระองค์อัลลอฮฺ  ลิขิตอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้น ถ้าหากเหตุมี ผลก็ย่อมต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุก็ย่อมไม่มีผล ถ้าหากพระองค์ลิขิตสาเหตุมาให้ฉันแล้ว ฉันจึงกระทำมันลงไป ถ้าหากพระองค์ไม่ลิขิตสาเหตุมาให้ฉัน ฉันก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้
         มีคำกล่าวว่า แล้วพวกท่านสามารถจะยอมรับได้หรือไม่ ถ้าหากคนที่ใช้เหตุผลนี้กับท่านเป็นข้าทาสของท่าน ลูกของท่าน เมื่อท่านใช้ให้เขาทำการงานอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ยอมทำ หากท่านยอมรับได้ ท่านก็จะไม่สามารถตำหนิผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่าน คดโกงท่าน ทำลายเกียรติของท่าน ลิดรอนสิทธิ์ของท่านได้ แต่ถ้าหากท่านไม่ยอมรับหรือยอมรับไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงจะปฏิเสธสิทธิ์ของอัลลอฮฺ  และคำสั่งใช้ของพระองค์เล่า ?
มีเรื่องเล่าจากพวกอิสราเอล ว่า
ท่านศาสดาอิบรอฮีมได้กล่าวว่า “โอ้พระผู้เป็นเจ้าโรคนั้นมาจากไหน?”
พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบว่า “จากเราเอง”
และท่านนบีอิบรอฮีมถามต่อว่า “แล้วยารักษาเล่ามาจากไหน?”
พระเจ้าตอบว่า “มาจากเราเอง”
ท่านนบีอิบรอฮีมกล่าวว่า “แล้วจะมีหมอไว้ทำไมเล่า?”
พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “หมอคือผู้ที่เราส่งการรักษามาไว้ในมือของเขา”

         และในคำพูดของท่านนบี  ที่ว่า “ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา” เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของผู้ป่วยและแพทย์ เป็นการกระตุ้นให้มีการค้นหายาและวิธีการรักษาต่างๆ มากขึ้น ผู้ป่วยนั้นเมื่อรู้สึกว่าโรคของตนเองสามารถรักษาให้หายได้ มียารักษาแน่นอน เขาก็จะมีความหวังมากขึ้น ความสิ้นหวังก็จะลดลงน้อยลง เป็นการเปิดประตูแห่งความหวังให้กับเขา เมื่อกำลังใจของเขาเข้มแข็งขึ้น ก็จะช่วยให้เขาหายจากโรคได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุให้เกิดพลังเข้มแข็งทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และด้านธรรมชาติ พลังเข้มแข็งจะเอาชนะโรคได้และทำให้หายโรคในที่สุด
          เช่นเดียวกันกับแพทย์ ถ้าหากรู้ว่าโรคนี้มียารักษาแน่นอนแล้ว เขาก็พยายามหาวิธีการรักษาและพยายามค้นคว้าหามันให้ได้ โรคที่ทำอันตรายต่อร่างกายก็เช่นเดียวกับโรคทางด้านจิตใจ เช่นกัน พระองค์อัลลอฮฺ  จะไม่ให้จิตใจของคนๆ หนึ่งต้องเจ็บป่วย นอกจากจะมียาหรือวิธีรักษาด้วยสิ่งที่ต่อต้านมันได้ ถ้าหากเจ้าของโรคนั้นรู้และใช้มัน และยานั้นถูกกับโรคของเขา เขาก็จะหายจากโรคนั้นด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ
ที่มา : การแพทย์ตามแนวทางท่านศาสดามุฮัมมัด
แปลโดย นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า
 

 





 


การรักษาโรคลมชักชนิด "โรคของพระเจ้า"
ดังได้กล่าวมาแล้ว ว่า โรคลมชักมี สองชนิด คือ
         ชนิดแรก เกิดจากวิญญาณชั้นต่ำที่เข้าสิง
         ชนิดที่สอง เกิดจากส่วนผสมที่เป็นพิษอยู่ในร่างกาย
         ส่วนแรก เกี่ยวกับ ผู้ที่เป็นลมชัก
         ส่วนที่สอง เกี่ยวกับ ผู้ที่รักษา

1.       ส่วนของ ผู้ที่เป็นลมชัก นั้นก็คือ
         ต้องทำใจให้เข้มแข็ง
         และมีความจริงใจที่จะหันไปหา ผู้ที่สร้างวิญญาณเหล่านี้ขึ้นมา
         และขออภัยโทษจากพระองค์ด้วยหัวใจ และลิ้น
         และนี่เป็นส่วนหนึ่งจาก สงครามการต่อสู้กับวิญญาณที่ชั่วร้ายนั้น การจะเอาชนะวิญญาณที่ชั่วร้ายได้ต้องอาศัย
         อาวุธที่เหมาะสม และมี แขนที่แข็งแรง
         ถ้าหากขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไป การต่อสู้ย่อมไม่ประสบผลตามที่มุ่งหวังไว้ ดังนั้น ถ้าขาดทั้งสองสิ่งยิ่งไม่สามารถจะสู้โรคร้ายได้เลย ดังนั้น หัวใจที่ขาด สิ่งเหล่านี้ ก็เท่ากับเขาไม่มีอาวุธอะไรเลยที่จะไปสู้กับวิญญาณร้ายได้ กล่าวคือ
         ขาดความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ ซบ. องค์เดียว
         ขาดการมอบหมายต่ออัลลอฮ์ ซบ.
         ขาดความเกรงกลัวต่ออัลลอฮ์ ซบ.
         ขาดการมุ่งสู่อัลลอฮ์ ซบ.
1.       ส่วนที่สอง เกี่ยวข้องกับ ผู้รักษา จะต้องมี สองสิ่ง เช่นเดียวกับ ผู้เป็นโรค เหมือนกัน ถ้าเขามีสองสิ่งนี้อยู่เต็มเปี่ยมแล้ว เพียงแค่การกล่าวว่า “จงออกไป” หรือ “ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ซบ.” หรือกล่าวว่า “ไม่มีพลังอำนาจใดๆ นอกจากอัลลอฮ์ ซบ.เพียงองค์เดียว”
         ท่านนบี ซล.ได้เคยกล่าวว่า “จงออกไปเถิดเจ้าศัตรูของอัลลอฮ์ ซบ. ฉันเป็นศาสดาของอัลลอฮ์ ซบ.” (ซอเฮียะห์อะห์หมัด171/172/4)
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยเห็น เชคของเราได้ส่งคนๆ หนึ่งไปพูดกับวิญญาณชั่วร้ายที่เข้าสิงคนๆ หนึ่งอยู่ และได้พูดว่า ท่านเชคได้ให้บอกแก่ท่านว่า “จงออกไปเสีย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะทำได้” หลังจากนั้น คนที่เป็นลมชักอยู่ก็ฟื้นขึ้นได้ บางครั้ง เชคก็ได้ไป พูดกับวิญญาณ นั้นด้วยตัวเอง บางครั้งก็ใช้ การตี บ้างเพื่อขับไล่ปีศาจร้ายไป ผู้ป่วยก็จะหาย และไม่รู้สึกเจ็บปวด (จากการถูกตี) เลย ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ได้เห็นเป็นพยานกันหลายคนหลายๆ ครั้ง มีหลายครั้งที่ ท่านเชค ได้อ่านที่หูของคนป่วยด้วยอายะห์ทีว่าความว่า “อย่าคิดว่าเราได้สร้างพวกเจ้ามาเพียงเพื่อเล่นสนุก และอย่าคิดว่าพวกเจ้าจะไม่ต้องกลับไปหาเรา” (อัลมุอมินูน115)ท่านเชค ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านได้อ่าน อายะห์นี้ ในหูของผู้ป่วยรายหนึ่ง และวิญญาณที่สิงอยู่ในผู้ป่วยนั้นได้ตอบกลับมาว่า “ใช่แล้ว” โดยส่งเสียงดังจนกลบเสียงกุรอ่าน ท่านเชค ได้เล่าต่อว่า ฉันจึงเอาไม้เรียวออกมาฟาดไปที่คนๆ นั้นที่ คอ จนกระทั่งมือของฉันเมื่อยล้า และคนป่วยก็เกือบตายจากการถูกตี ขณะที่ฟาดนั้นวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งเป็นหญิงได้กล่าวว่า “ฉันรักคนๆ นี้” ฉันตอบว่า “เขาไม่ได้รักท่าน” วิญญาณพูดอีกว่า “ฉันต้องการจะไปบำเพ็ญฮัจย์กับคนๆ นี้” ฉันตอบอีกว่า “เขาไม่ได้ต้องการไปกับท่าน” วิญญาณพูดอีกว่า “ฉันจะออกจากร่างชายคนนี้เพื่อเห็นแก่ท่าน” ฉันตอบอีกว่า “อย่าเลย แต่จงออก เพราะท่านเชื่อฟังอัลลอฮ์ ซบ. และรอซูลของพระองค์ดีกว่า” วิญญาณพูดอีกว่า “อย่างนั้นฉันออกละนะ” แล้วคนป่วยก็ฟื้นขึ้น มองไปรอบๆ และกล่าวว่า “ใครพาฉันมาหาเชคที่นี่” คนที่ดูอยู่จึงถามว่า “ท่านถูกตีเจ็บมากไหม” คนป่วยตอบว่า “เชคจะมาตีฉันทำไมในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” และเขาไม่ได้รู้สึกตัวเลย ว่าเขาถูกตีอย่างหนักเพียงไร บางครั้งเชคก็ใช้อายะห์กุรซีย์ และมักจะสั่งให้ผู้ที่ถูกวิญญาณเข้าสิง หรือคนที่หายจากการถูกเข้าสิงแล้ว ให้อ่านอายะห์นี้บ่อยๆ ร่วมกับกุรอ่านสองซูเราะห์สุดท้ายกล่าวโดยสรุปแล้ว นี่คือ โรคลมชักชนิดหนึ่งที่ไม่มีใครจะกล้าปฏิเสธ นอกจากผู้ที่ไม่รู้ หรือผู้มีความรู้น้อยนั่นเอง มีข้อสังเกตว่าส่วนใหญ่ของผู้ที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง มักเป็นผู้ที่มีศรัทธาอ่อนแออยู่แล้ว ใจและลิ้นของพวกเขามักจะลืมอัลลอฮ์ ซบ. เขาจึงไม่สามารถกำจัดวิญญาณเหล่านั้นด้วยตัวเองได้ และไม่สามาถใช้สูตรใดๆ ตามแบบอย่างของท่านนบี ซล. ได้เลย และวิญญาณมักจะรู้ว่า คนอ่อนแอเช่นนี้อยู่ที่ไหน และหาพบเสมอ!ถ้าหากความจริงถูกเปิดเผยขึ้นมา เราก็จะได้พบว่า มนุษย์ส่วนมาก มักจะถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้ามามีอิทธิพลในจิตใจ ให้นึกไปในทางชั่วร้ายอยู่เสมอ คนทั่วไปมักไม่สามารถจะหนีจากการควบคุมของมันได้ และบางครั้งถึงกับต่อต้านการหนีนั้นด้วย คนส่วนมากที่เป็น โรคลมชัก มักเป็นชนิดนี้ โดยที่คนป่วยจะปลุกไม่ตื่น นอกจากสิ่งปกปิดที่ปิดกั้นจนตาเขามืดบอดถูกเปิดออก เขาจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า เขากำลังถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างง่ายดาย และการรักษา โรคลมชัก ดังกล่าวก็ด้วยการให้ สติปัญญาที่ดี ได้เชื่อมต่อกับ ความศรัทธา ในสิ่งที่ท่านศาสนทูตนำมาอย่างแท้จริง ให้สวรรค์และนรกอยู่ในจิตใจและความคิดเขาอยู่ตลอดเวลา เขาก็จะรู้ถึงสภาพของคนในโลกดุนยานี้ที่จะต้องได้รับการทดสอบจากพระเจ้าและภัยต่างๆ อยู่เสมอๆ เสมือนกับ อยู่ใต้ฟ้าก็ย่อมต้องโดนฝน อย่างแน่นอน ซึ่งตอนนั้นคือ ตอนที่เขาป่วยเป็นโรคลมชักอยู่นั่นเอง แม้การเป็น โรคลมชัก จะรุนแรง หายารักษาได้ยาก แต่เมื่อมันเกิดกับบุคคลทั่วๆ ไป และบ่อยๆ แล้ว ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นสิ่งธรรมดาไป ไม่น่ากลัวและไม่ทำอันตรายมากอย่างที่คิด เมื่ออัลลอฮ์ ซบ.ทรงประสงค์ให้เขาได้หายจากโรคลมชัก เขาก็สามารถจะหายได้ และเมื่อเขาสังเกตดูผู้คนในโลกรอบๆ ตัวเขา เขาก็จะพบว่าแทบทุกคนเป็น โรคลมชัก ในระดับต่างๆ กัน บางคนถึงขั้นเป็นบ้าไป บางคนก็มีเวลาที่จะรู้สึกตัวบ้างเป็นบางครั้ง แล้วก็กลับไปเป็นอย่างเดิมอีก บางคนรู้สึกตัวดีครึ่งหนึ่ง และเป็นบ้าอีกครึ่งหนึ่งของเวลา เมื่อดีๆ เขาก็สามารถทำงานเหมือนคนปกติ แต่เมื่อ โรคลมชัก จับก็จะไม่รู้สึกตัวอีก








2.3 อิทธิพลจากศิลปะรูปแบบต่างๆ

2.3 Influences from various forms of art


2.3.1 ศิลปินผู้มีชื่อเสียงซึ่งป่วยโรคลมชัก
          Famous Artists with Epilepsy


 
         Michelangelo Buonarroti (1475 - 1564)
         Edward Lear (1812 - 1888)
         Lewis Carroll (1832 - 1898)
         Vincent van Gogh (1853 - 1890)
         Giorgio de Chirico (1888 - 1978)


Rewriting History: Did All Those Famous People Really Have Epilepsy?
Napoleon Bonaparte once said, “History is the version of past events that people have decided to agree upon.” But what if the “version of past events are disputed?” Where does that leave history and more importantly who determines the accuracy of these events? Dr. John Hughes, Department of Neurology, School of Medicine, University of Illinois at Chicago decided to dive headlong into this question while researching the extensive timeline of historical figures reported to have suffered with epilepsy. “History is only as accurate as how carefully we’ve looked at these events. If we don’t carefully examine events reported to be epileptic seizures, then we are misled into the diagnosis of epilepsy”, said Hughes. Hughes investigated 43 historical figures reported to have had epilepsy ranging chronologically from Pythagorus, born in 582 BC, to the actor Richard Burton, born in 1925. According to Hughes, “All of these people had been reported to have had various kinds of attacks, but they did not have epilepsy.”
Research Methods
Hughes gathered data on each historical figure using the Internet as well as books obtained from both public and university libraries. The references include recent books published after 1990 (29%)1980 (42%), and 1970 (58%). Only 23% of the references are older than 1950. In total, Hughes consulted 154 sources.
List of Historical Figures Studied
o Pythagoras (582-500 BC)
o Aristotle (384-322 BC)
o Hannibal (247-183 BC)
o Alfred the Great (849-899)
o Dante Alighieri(1265-1321)
o Johanne la Pucelle (Joan of Arc)(1412-1431)
o Leonardo da Vinci (1452-1519)
o Michelangelo Buonarroti (1475-1564)
o Cardinal Richelieu (1585-1642)
o King Louis XIII of France (1601-1643)
o Jean-Baptiste Poquelin-Moliere (1622-1673)
o Blaise Pascal (1623-1662)
o Sir Isaac Newton (1642-1727)
o William of Orange (1650-1702)
o Jonathan Swift (1667-1745)
o George Frederic Handel (1685-1759)
o William Pitt, Earl of Chatham (1708-1778)
o Samuel Johnson (1709-1784)
o Jean Jacques Rousseau (1712-1778)
o James Madison (1751-1836)
o Ludwig von Beethoven (1770-1827)
o Sir Walter Scott (1771-1832)
o Niccolo Paganini (1784-1840)
o George Gordon, Lord Byron (1788-1824)
o Percy Bysshe Shelley (1792-1822)
o Louis Hector Berlioz (1803-1869)
o Edgar Allen Poe (1809-1849)
o Alfred Lord Tennyson (1809-1892)
o Robert Schumann (1810-1856)
o Charles Dickens (1812-1870)
o Soren Aabye Kierkegaard (1813-1855)
o Hermann Ludwig Ferdinand Von Helmholtz (1821-1894)
o Gustave Flaubert (1821-1880)
o Leo Tolstoy (1828-1910)
o Lewis Carroll (1832-1898)
o Alfred Nobel (1833-1896)
o William Morris (1834-1896)
o Algernon Charles Swinburne (1837-1909)
o Pytor (Peter) Ilyich Tchaikovsky (1840-1893)
o Henri-Rene-Albert Guy de Maupassant (1850-1893)
o Agatha (Miller)Christie (1890-1976)
o Truman Capote (1924-1984)
o Richard Burton (1925-1984)


Results


Surprisingly, Hughes found that all 43 famous people did not have epilepsy, but various other health related illnesses including psychogenic attacks, anxiety attacks, and alcohol withdrawal seizures. Of the 43 historic figures,
epilepsy was misdiagnosed in 26 % who had psychogenic attacks, in 21 % with attacks of anguish, nervousness, fear, agitation, or weakness; and in 12% with alcohol withdrawal seizures.” He maintains that the descriptions offered either by the biographer or by the individual who had the attack often contained the word “fit” --“fit of pain”, “anxiety fit”, “fit of spleen” . Based on this evidence he asserts that improper conclusions were then drawn to diagnose epilepsy. He also argues that “all epileptic attacks should involve some change in awareness on the part of the patient, with the exception of simple partial seizures. In the research he collected there were many instances in which the individual admitted awareness, while many different movements or symptoms were present.” Furthermore, the length of the attack was an important clue that the attack was psychogenic and not epileptic; most psychogenic attacks are longer than minutes while most complex partial or generalized tonic-clonic seizures only last 1-2 minutes.
In addition, 40% of the 43 famous people investigated in this study, had severe health problems as an infant or small child.
What Are Psychogenic Seizures?
Events that look like seizures, but are not due to epilepsy are called "nonepileptic seizures." A common type is described as psychogenic, which means beginning in the mind. Psychogenic seizures are caused by subconscious mental activity, not abnormal electrical activity in the brain. Doctors consider most of them psychological in nature, but not purposely produced. Usually the person is not aware that the spells are not "epileptic." The term "pseudoseizures" has also been used (mostly in the past) to refer to these events.
How Common Are Psychogenic Seizures?
Psychogenic nonepileptic seizures are common. About 20% of the patients referred to comprehensive epilepsy centers for study with video-EEG are found to have nonepileptic seizures. About in of these patients either also has epileptic seizures or has had them, however. These people need different treatment for each disorder. Psychogenic nonepileptic seizures have been more widely recognized during the past several decades. They are most often seen in adolescents and young adults, but they also can occur in children and the elderly. They are three times more common in females.
What Does A Psychogenic Seizure Look Like?
The seizures most often imitate complex partial or tonic-clonic (grand mal) seizures. Family members report episodes in which the patient stiffens and jerks. Doctors rarely witness the actual event, so they are drawn toward the diagnosis of epilepsy. Often years can be spent trying to treat the spells as epileptic seizures without success. Doctors have identified certain kinds of movements and other patterns that seem to be more common in psychogenic nonepileptic seizures, than in seizures caused by epilepsy. Some of these patterns do occur occasionally in epileptic seizures, however, having one of them does not necessarily mean that the seizure was nonepileptic.
How Are Psychogenic Seizures Diagnosed?
Video-EEG monitoring is the most effective way of diagnosing nonepileptic seizures. The doctor may take steps to provoke a seizure and then ask a family member or friend of the patient to confirm that the event was the same as the usual kind. Psychogenic nonepileptic seizures do not necessarily indicate that the person has a serious psychiatric disorder. The problem does need to be addressed and many patients need treatment. Sometimes the episodes stop when the person learns that they are psychological. Some people have depression or anxiety disorders that can be helped by medication. Counseling for a limited time is often helpful.
Alcohol Withdrawal Seizures
When alcohol is related to seizures, it has been found that it is nearly always the state of alcohol withdrawal that aggravates seizures, rather than drinking itself. Your risk of seizures may be much higher after consuming three or more alcoholic beverages. These alcohol withdrawal seizures may begin between and 72 hours after you stop drinking. Studies suggest that alcohol withdrawal seizures most often occur or hours after heavy or prolonged drinking has stopped. Alcoholism, or chronic abuse of alcohol, has been shown in recent studies to be associated with the development of epilepsy in some people. These experiments suggest that repeated alcohol withdrawal seizures may make the brain more excitable. Thus, people who have experienced seizures provoked by binge drinking may begin to experience unprovoked epileptic seizures ("alcoholic epilepsy") regardless of alcohol consumption.
Implications of the Results
When asked why he wanted to study this particular subject Hughes replied, “I wanted to investigate the accuracy of a diagnosis of epilepsy in these historical figures because first off. Let’s get history right. I don’t want to see people quoting history incorrectly. The other thing is, all the reasons why these 43 people were thought to have epilepsy is why patients are referred to epileptologists today.” Hughes believes the misdiagnosis of epilepsy is both a problem of the past as well as the present, “Although conditions today are very different compared with the many eras sampled in this review, the reported 20-30% of epileptologists who do not correctly differentiate psychogenic from epileptic disorders is similar to our 26% today. The 12% of incorrect diagnoses from alcohol withdrawal attacks in this report is similar to the 10% of the adult population who, in the 1950’s admitted consuming large amounts of alcohol.”
Commentary
If history is in fact a “version of events that people have decided to agree upon”, then it is quite possible the timeline of famous people with epilepsy is questionable. Although, it is also important to remember that the means with which these historical figures were diagnosed pales in comparison to the technology we have today. Hence, perhaps the definition of epilepsy, like technology, is an ever evolving process which changes as we gain scientific knowledge about the complexities of epilepsy and the brain. Perhaps by today’s standards, yesterday’s diagnoses are inaccurate-perhaps. Hughes’ findings encourage us to rethink what has generally come to be thought of as history. However, his research does not negate the fact that famous people with epilepsy are capable of great accomplishments worthy of fame. In conclusion, we look forward to further work that establishes a definite diagnosis of epilepsy amongst historical figures.





งานศิลปะของ ไมเคิลแองแจลโล สมองแห่งกายวิภาค
Michelangelo 's artwork Anatomy Brain


 
2.3.1.1The Creation of Adam Italian: Creazione di Adamo
Artist Michelangelo Buonarroti
Year c. 1512
Type Fresco
Dimensions 280 cm × 570 cm (9 ft 2 in × 18 ft 8 in)




2.3.1.2 Separation of Light from DarknessItalian: Separazione della luce dalle tenebre
Artist Michelangelo Buonarroti Year First half of 1512 Type Fresco Location Sistine Chapel, Vatican City

 

2.3.1.3 Michelangelo Anatomy Brain




2.3.1.4 Michelangelo Anatomy Brain


 



2.3.1.5 Michelangelo Anatomy Brain







2.3.1.6  Jesus Heal Epilepsy in Last Judgement(Michelangelo)




งานศิลปะของวินเซ็นต์ แวนโก๊ะ ศาสนศิลป์และศิลปะบำบัด

Art of Vincent van Gogh, religious art and art therapy
 


2.3.1.7 Vincent van Gogh "Pieta" of Jesus and Mary 1890.
          
 

 
2.3.1.8 “Still Life with Bible 1885.Angel (After Rembrandt) 1889.

 

2.3.1.9 Van Gogh Bäume im Garten des Hospitals Saint-Paul  


 


2.3.1.10 Van Gogh Garten des Hospitals in Arles1 ,Van Gogh Ward in the Hospital in Arles
 




2.3.2
งานศิลปะของ Alex Grey

Art Of Alex Grey



2.3.2.1  Alex Grey

อเล็กซ์ เกรย์ คือ ผู้ทีรู้จักกันดีที่สุดสำหรับวิสัยทัศน์ ศิลปกรรมของเขา ซึ่งรวบรวมกายวิภาคของมนุษย์ด้วยแสงเหนือธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณ ผลงานของเขาประสานงานวิถีทางแห่งวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณ ผลงานจิตรกรรม ผลงานประติมากรรม และการดำเนินการของเกรย์ ได้รับนิทรรศการที่น่านับถือ ใน เซา เปาโล สองปีต่อครั้งเดอะ แกรนต์ พาเลซ ใน ปารีส เวนิซ และ ณ อเมริกา วิชันนารี อาร์ต มิวเซี่ยมเดอะ นิว มิวเซี่ยม และ เดอะ มิวเซี่ยม ออฟ คอนเท็มท์โพราลี อาร์ต,ซานดิเอโก  ทูล์ บีสต์ตี้ บอยด์ เนอร์วานา เอส ซี ไอ และ เดวิด เบร์น ถูกแสดงให้เห็นใน เกรย์ ผลงานศิลปะ แห่ง หน้าปก “จิตวิญญาณพิภพ” แผ่นคำพูด วาดเหนือพันผู้คนเมื่อดำเนินงานในโอ็คแลนด์แคลิฟอร์เนีย และสามารถใช้ได้ เช่นทั้งคู่ CD และDVD ผลงานของเกรย์คือ ประวัติการในเอกสาร กระจกศักดิ์สิทธิ์ : ศิลปะวิสัยทัศน์ แห่ง อเล็กซ์ เกรย์ (พิมพ์ในหกภาษา) ทรานส์ฟิกเกอ์เรชั่น (การแปรรูป) และในหนังสือพิมพ์ภาพ ปรัชญา อรรถบท เดอะมิสชั่น ออฟ อาร์ต(ภารกิจแห่งศิลปะ)วิหารแห่งกระจกศักดิ์สิทธ์ CoSM นิทรรศการระยะยาวแห่ง ห้าสิบ ผลงาน แห่ง เกรย์ ศิลปะการเปลี่ยนแปลงนั้น ร่วมก่อตั้ง โดย อัลลิสัน และ อเล็กซ์ ในปี 2004ในนคร นิวยอร์ค ใน 2007เกรย์ร่วมประพันธ์ CoSM หนังสือภาพถ่าย ทัศนาจร แห่ง วิหารแห่งกระจกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ ณ CoSM นั่นซี่งเกรย์ แบ่งปันหลายหลากแห่ง บทกวี ซึ่งรวบรวม บัดนี้ อเล็กซ์อาศัยในเมือง นิวยอร์ค กับภรรยาของเขา จิตรกร อัลลิสัน เกรย์ และ ลูกสาวพวกเขา นักแสดงหญิง ซีน่า เกรย์
 




2.3.2.2 Dalai Lama painting by, Alex Grey©


     
    
2.3.2.3 "Vision Tree" painting by, Alex Grey© , 2001., "Namaste", painting by, Alex Grey©

 

2.3.2.4 Adi Da painting by, Alex Grey©

In my painting Adi Da, the guru is portrayed as a totally transfigured being. His heart is the dawning sun, source of illumination outwardly and inwardly symbolic of Da’s transparency to Divine Radiance. Since Da mean “the giver,” the right hand is making an offering of teachings that contain the same light as the heart. A lineage of masters from various wisdom paths are receding translucently into the horizon of the top row of heads; the heads in the bottom row are the various faces of Adi Da, from childhood up to the present. The sky meets the ocean at heart level, and a pillar of light connects the heavens and earthly realms through the central channel. The Dawn Horse in the central channel symbolizes the force that powers Adi Da’s teachings. There are many devotees inside the body.  The flowers are an offering to the Master. A large translucent face hovers over his physical form. The large head rests on a central channel of light coming from the bottom of the composition,  suggesting the shape of a simple grail-type drinking cup. The potion in the cup is amrita, nectar of the heart united with an ocean of love, the God intoxication that the guru provides and for which humanity thirsts. The brightGodhead” has large eyes and it’s mouth is placed at the shoulders, shouldering the mouth of God, and Da’s head becomes the God nose/knows.
Seeing the Master, or glimpsing an enlightened being, is called darshan, during which a subtle transmission can occur to bless or empower an aspirant’s spiritual development. It was during such a circumstance that I met the heart master, Adi Da. One of the remarkable things about this spiritual meeting was that afterword I realized that no thoughts or concepts had occurred in my mind during the entire time Da was present. There is only the Divine Presence that he is and all of us potentially are. He seemed silently to become every individual in the room, and as this happened, people swooned in devotional ecstasy. My one encounter with Adi Da was profound. I am not a formal devotee, but I have tremendous respect for Da’s writings and teachings.
His way of teaching was simply to be present for his devotees’ contemplation. This is why images of deities and avatars are important to some religious cultures. One of the most important Tantric spiritual practices is called Guru-Yoga. Guru-Yoga is a method of visualization in which the aspirant imaginatively works with an image of a spiritual master as a crystallization of spiritual potential, a psychic “attractor” from which one receives specific empowerment. This process draws on the powerful inner archetype of the “master,” one who has gone beyond the normal human limitations and achieved transcendent greatness or enlightenment. For most people this is a suppressed archetype, so bringing it to full consciousness and being empowered by it’s presence establishes an important bonding and reinforcement of one’s identity with an internal spiritual reality. By clearly representing a spiritual archetype, artworks can serve and catalyze the viewer’s own realization. Throughout the history of art, a similar principle has been used to transmit the power of religious people through their portraiture.
©https://www.alexgrey.com/art/paintings/soul/adi-da/


Adi Da , Alex Grey

 

ในภาพ Adi Da ของผม ผู้นำศาสนาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคนที่เปลี่ยนรูปโดยสิ้นเชิง หัวใจของเขาคือพระอาทิตย์ขึ้น แหล่งกำเนิดแสงสว่างทั้งภายนอกและภายใน เป็นสัญลักษณ์ แห่งความโปร่งใส่ของ Da ต่อรัศมีอันโชติช่วงของพระเจ้า Da หมายถึง"ผู้ให้" มือขวาจึงนำเสนอแหล่งการสั่งสอนที่มีแสงแบบเดียวกับหัวใจ เชื้อสายของครูซึ่งมาจากเส้นทางภูมิปัญญาต่างๆ ร่นอย่างโปร่งแสงเข้าไปในเส้นขอบฟ้าของแถวบนสุดของศีรษะ ศีรษะหลายศีรษะในแถวล่างสุดเป็นใบหน้าต่างๆกันของ Adi Da ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ท้องฟ้ามาบรรจบกับท้องทะเล ตรงระดับหัวใจ และเสาของแสงสวางเชื่อมต่อสวรรค์และโลก ผ่านช่องที่อยู่ตรงกลาง ม้าแห่งรุ่งอรุณ ครงช่องที่อยู่ตรงกลางที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่ให้พลัง คำสอนชอง Adi Da ของสาวกหลายคนภายในร่างกาย ดอกไม้เป็นเครื่องบูชาศาสดา ใบหน้าโปร่งแสงขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือกายของเขา ศีรษะขนาดใหญ่วางอยู่บนช่องตรงกลางของแสง ที่มาจากด้านล่างของงค์ประกอบ มองดูคล้ายๆถ้วยในรูปร่างคล้ายๆจอกเรียบๆ ยาในถ้วยคืออมฤต น้ำทิพย์แห่งหัวใจที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทรแห่งความรัก ความมัวเมาในพระเจ้านั่่นซึ่งผู้นำศาสนามีให้ และที่มนุษยชาติกระหาย ศีรษะของพระเจ้าที่ส่วาง มีดวงตาขนาดใหญ่ และปากวางอยู่บนไหล่ที่แบกภาระจากโอษฐ์ของพระเจ้า และศีรษะของ Da กลายเป็นจมูกของพระเจ้า การเห็นศาสดา เห็นศาสดาผู้รู้แจ้งเพีบแว่บเดียว เรียกว่า ดาร์ชัน ในระหว่างนั้นสามารถเกิดการส่งผ่านที่แทบจะสังเกตไม่เห็นเพื่อให้ศีลให้พร หรือ ให้พลังผู้แสวงหาในการพัฒนาจิตวิญญาณ  ในสถาณะการณ์เช่นนี้เองที่ผมพบศาสดาในหัวใจ Adi Da หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับการประชุมทางจิตวิญญาณ ก็คือหลังจากนั้นผมตระหนักว่า ไม่มีความคิดหรือแนวคิด เกิดขึ้นในใจของผมตลอดเวลาที่ Da อยู่ มีแต่เพียงการคงอยู่ตัวของพระเจ้า ว่าท่านคงอยู่ซึ่งเขาและพวกเราทุกคนอาจคงอยู่ ท่านดูเหมือนจะเป็นทุกๆคนอย่างเงียบๆในห้อง และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ผู้คนปลื้มด้วยความปิติยินดี การเผชิญหน้ากับAdi Daครั้งหนึ่งลึกซึ้ง ผมไม่ใช่ผู้ศรัทธาอย่างเป็นทางการ แต่ผมมีความเคารพอย่างมากต่องานเขียนและคำสั่งสอนของDa

วิธีสั่งสอนของเขานั้นมีเพียงเพื่อให้ลูกศิษย์ไตร่ตรองนี้คือเหตุผลวาทำไมภาพของเทพและการอวตารมีความสำคัญสำหรับบางวัฒนธรรมทางศาสนา หนึ่งในการฝึกปฎิบัติทางจิตวิญญาณตันตระ

 

เรียกว่า คุรุโยคะคุรุ โยคะคือวิธีหนึ่งในการสร้างภาพ ที่ซึ่งผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าทำงานอย่างสร้างสรรค์ กับภาพของผู้นำแห่งจิตวิญญาณ ในฐานะที่เป็น การตกผลึกของศักยภาพทางจิตวิญญาณ ผู้ดึงดูด ทางจิตที่เราได้รับการเพิ่มพลังที่เฉพาะเจาะจง กระบวนการนี้ดึงพลังความสมบูรณ์แบบของผู้นำศาสนาภายในที่มีพลัง ผู้ซึ่งไปไกลกว่า ข้อจำกัดของมนุษย์ทั่วไป และบรรลุความยอดเยี่ยมที่ยิ่งใหญ่ หรือการรู้แจ้ง สำหรับคนส่วนใหญ่นี้คือตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่ถูกเก็บกด ดังนั้น การนำมันสู่การรับรู้ที่สมบูรณ์ และยอมให้มันมีอยู่ สร้างความผูกพันที่สำคัญ และ การสร้างเสริมอัตลักษณ์ ด้วยความเป็นจริงของจิตวิญญาณภายใน โดยภาพอย่างชัดเจน การเป็นสัญลักษณ์ของตัวอย่างสมบูรณ์แบบแห่งจิตวิญญาณ งานศิลป์สามารถช่วยและกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ตัวเองของผู้ชม ตลอดประวัติศาสตร์ศิลป์ หลักการที่คล้ายกันถูกใช้เพื่อส่งผ่านอำนาจแห่งคนในศาสนาผ่านศิลปะการวาดภาพเหมือน

 

อเล็กซ์ เกรย์


The Sacred Mirrors series is a totally unique work of contemporary sacred art created by Alex Grey between the years of 1979-89. This installation of framed images, consisting of paintings and two etched mirrors, examines the anatomy of body, mind and spirit in rich detail. Each painting presents a life-sized figure facing viewers and inviting them to mirror the images, creating a sense of seeing into oneself.   By open-minded aesthetic contemplation of the Sacred Mirrors, one’s identity shifts from a material body to spiritual light. The life-sized representations of the human body, portraying its physical and energetic systems, are both scientifically precise and vividly visionary. The Sacred Mirrors dramatically reveal the miracle of life’s evolutionary complexity, the unity of human experience across all racial, class and gender divides, and the astonishing vistas of possibility inherent in human consciousness.  Alex Grey’s art combines ancient wisdom, anatomical accuracy, and post-modern eclecticism to produce elegant, universally accessible, eternally relevant and resonant symbols.”
– JP Harpignies


2.3.2.5 The Chapel of Sacred Mirrors
 



2.3.2.6 Theologue painting by, Alex Grey©


The Union of Human and Divine Consciousness Weaving the Fabric of Space and Time In Which the Self and Its Surroundings Are Embedded During deep meditation, I entered a state where all energy systems in my body were completely aligned and flowing.  It was in this state that I envisioned Theologue.  I was wearing a Mindfold which allowed me to stare into total darkness.  I stared into an infinite regress of electric perspective grids that radiated from my brain/mind and led to the horizon.  A mystic fire engulfed me.  Across the horizon all I could see were perspective lines going into deep space.  I was seeing both the perceptual grid of my mind on which space and time are woven, and the universal mind which was both the source and the weaving loom. At this moment, faintly, Himalayan mountains appeared.  Transparent, but present, they formed a vast and beautiful panorama and then disappeared back into the grid.

ความก้าวหน้าของวิญญาณ

 

ความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์และการับรู้ของพระเจ้า ถักองค์ประกอบของช่องว่างและช่วงเวลาทุกระบบ ซึ่งตัวตนเองและสภาพถูกฝังไว้

ระหว่างการนั่งสมาธิลึก ข้าพเจ้าเข้าสู่สภาวะทีระบบพลังงานในร่างกายข้าพเจ้าจัดเป็นแนวเดียวกัน และไหลลื่นอย่างไม่ติดขัด ในสภาพเช่นนี้เองที่ข้าพเจ้ามองเห็นนักเทววิทยา ข้าพเจ้าสวมหน้ากากปิดตา ซึ่งยอมให้ข้าพเจ้าจ้องมองเข้าไปในความมืดมิด ข้าพเจ้าจ้องเข้าไปในตะแกรงที่มีเส้นสายไฟโยงใยที่ถดถอยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตะแกรงนั่นแผ่จากสมอง จิตใจข้าพเจ้า และนำไปสู่ขอบฟ้า ไฟลี้ลับลุกท่วมตัวข้าพเจ้าข้ามขอบฟ้าไป สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นคือเส้นใยที่มีสัดส่วนลึกเข้าไปในที่ว่างเปล่า ข้าพเจ้าเห็นตารางการรับรู้จิตใจของข้าพเจ้า ที่ที่ว่างเปล่าและเวลาที่ถูกทอเข้าด้วยกันและความคิดที่เป็นสากล ซึ่งเป็นทั้งจุดกำเนิดและเครื่องทอผ้า  ณ ขณะนี้ อย่างเลือนราง ภูเขาหิมาลัยปรากฎขึ้น โปร่งใส แต่มีอยู่ เทือกเขานี้ก่อตัวเป็นภาพพาโนรามากว้างใหญ่ และงดงามและจากนั้นหายตัวกลับไปสู่ตะแกรง

 

อเล็กซ์ เกรย์



2.3.3

งานศิลปะของ Eduardo Urbano Merino

Art Of Eduardo Urbano Merino

 



He was born in Mexico City in October 1975. When he was a child, he showed talent in visual arts.  He sold his first painting professionally at the age of 16. Urbano studied at the Academy of San Carlos in Mexico City, where he was an outstanding student in human anatomy, composition and painting techniques, but most of his technique and knowledge was acquired from self-taught as a child, being Influenced by the study of classic artists such as Caravaggio, Rembrandt, Michelangelo, Velazquez, Dali,  among others.His work is figurative, sometimes hyperrealist. He is an expert on the human figure and perspective.

 His works have been exhibited in several recognized artistic venues in Mexico, as well as in several international presentations in Europe and North America. In 2003, Rigoberta Menchu, winner of the Nobel Peace Prize, gave him "The peace medal in the arts" for his collaboration in noble causes. In 2010 Urbano was commissioned to paint one of the murals in celebration of the bicentennial of Mexico's independence, creating a monumental work of 5x10 meter oil. He recently unveiled a sculpture for the Mexican College of Rheumatology Mexico's Chapultepec Castle in Mexico City, called “Hope and fulfillment”, and his painting about epilepsy is on permanent display at the main lobby of the Royal University Hospital in Saskatoon Canada.

Muralist, painter and sculptor, Eduardo Urbano Merino now has more than 40 exhibitions in Europe and America, and his work are in private and public collection of more than 16 countries


"Epilepsy, leaving behind the nightmare"
Measurements: 39.3 47.2 inch Technique: Oil / Canvas
On permanent display at the Royal University Hospital in Saskatoon Canada. On the left it's all bad, storm, disease, black neurons (sick) are trapped between two of the three crystals that float, that´s left side ... on the center, the patient is standing up, until it is incorporated at the time that doctors are healing, there's the "grid" or (mesh they use to put up in the operation of the brain, of course the original is a little smaller), which is surrounded by healthy neurons in white ... (I guess just neurologists will understand) ... that technological apparatus through the glass on the right side representing the screen also used to determine the numbers where they will use the "grid "... one of the doctors is touching the patient, the other is seeing an electroencephalogram ... the oldest Dr. represents a Latin people and also represent the experience and carries the red maple leaf as a union of Latin America with Canada, the other wears a badge with the flag of the Saskatoon province .... but to make it clearer ... and textual point .. THE POINT ... right in the golden point of the composition of the painting, i put the same flower used in that flag ... (golden point results from the division of the top of the painting across from 1.618 where the two lines intersect resulting ... right there is the flower) also point is used to calculate all the vertical lines of paint ... except for the patient standing that takes up the head the "grid" ... this "grid" comes from a characteristics plants in my work that represent health and life. Models Patient / Roman Nibeyro Real doctors participated as models. Dr. José Alfredo Merino Rajme & Dr. Sergio Ayala. Suffering from epilepsy is a nightmare, but with modern medical science, you can leave it behind…
The painting was published in several international journals and web sites, one of those magazines is one of the most prestigious in the field of epilepsy in the world “Epilepsy & Behavior” where the painting appeared in a special article and cover.
Tlazolteotl healing a child of epilepsy Oil/Canvas 2.00x2.00m
In 2015 the Mexican artist Eduardo Urbano Merino created a modern depiction of the Aztec goddess of epilepsy “Tlazolteotl”. Tlazolteotl was portrayed by the Aztecs as the life-giving earth mother and goodness of fertility, but also was considered cruel and capable to bring insanity. She was able to take possession of a person, penetrate him or her and causes convulsions, but also was able to cure patients with epilepsy. The new depiction shows the goddess approaching a child who is going to be cured by the request of the mother. The goddess is one of the most intense figures in the painting and she is portrayed as a powerful woman holding in one hand maize cobs as a symbol of life and in the other hand a rattle which was a ritual instrument for the dance of the fertility. The woman wears in the chest an Aztec dress with typical ornaments and is surrounded by a red blanket. In the Aztec culture the goddess were related with blood, and historically in the Aztec culture blood was valued as a sacred thing. The goddess has white flowers on her extremities that symbolize beauty and kindness. This kind of flower is typical of Mexico City. The goddess has the mouth open and it was described that when she was curing a patient the disease was expelled by the mouth by the goddess.
In the lower part of the painting we find the scene in the foreground of the painting. There is a child having an epileptic seizure and is supported by her mother. The child has no shoes and he is dressed as people in our days. He has the reflection of the blanket in his pants. As an important technical detail in the painting the child and his mother are in the golden point (golden ratio) of the composition, from this point the symmetry of the figures and the whole painting is calculated.
The goddess is approaching the patient ready to be cured. The painting has some simbology; there is a horizontal platform supporting the patient and her mother. In the second block there are some symbols used by first nations of Canada. In the last block from left to right there is a maple leaf. The painting also has two lateral and a superior walls containing the scene in a geometrical perfect form and helps to concentrate the power of the goddess to cure the patient. These walls represent parts of Aztec pyramids with traditional timeworn ornaments in the borders. Finally in the right lateral wall there is a grid, this is a device used to map seizure activity in patients during operations. The painting has the typical leafs of the work of Eduardo. The painting is in permanent exhibition at the college of Medicine of the University of Saskatchewan Canada.


 






2.3.3.2 Measurements: 39.3 X 47.2 inch Technique: Oil / Canvas, Tlazolteotl healing a child of epilepsy Oil/Canvas 2.00x2.00m

Eduardo Urbano Merino




 

เขาเกิดในเมืองเม็กซิโกในเดือนตุลาคม คศ.1975เมื่อเป็นเด็ก เขาแสดงพรสวรรค์ในด้านทัศนศิลป์ เขาขายภาพเขียนแรก อย่างมืออาชีพ เมื่ออายุ16 Urberno ศึกษา ที่ สถาบันแห่งSan Carlosในเมืองเม็กซิโก ที่ที่เขาเป็นนักเรียนผู้โดดเด่น ในด้านกายวิภาคมนุษย์ การจัดองค์ประกอบ และเทคนิคการวาด แต่เทคนิคและความรู้ของเขาส่วนใหญ่ ที่ได้มาจากการสอนตัวเอง เมื่อเป็นเด็ก ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาของศิลปินคลาสสิก เช่น Caravaggio ,Rambrant ,Michelangelo ,Velazquez ,Dali  ผลงานของเขา ทำนองเปรียบเทียบ เป็นรูปเป็นร่างเกินจริง เขาคือผู้เชี่ยวชาญบางครั้งเป็นแบบHyperrealist ด้านรูปร่างมนุษย์ และ ศิลปะแบบสองมิติ ผลงานของเขาถูกแสดงสถานที่จัดแสดงงานศิลปะที่ได้รับการยอมรับหลายแห่ง ในเม็กซิโก รวมทั้งในนิทรรศการระดับนานาชาติหลายแห่งใน ยุโรปและอเมริกาเหนือ

 

 

ในปีค.ศ2003 Rigoberta Menchu ผู้ได้รับรางวัล โนเบล สันติภาพ ให้มอบ เหรียญรางวัลสันติภาพด้านศิลปะ ให้แก่เขา สำหรับความร่วมมืออันสูงส่ง ในต้นปีค.ศ.2010 urbernoได้รับมอบหมายให้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในงานเฉลิมฉลองเอกราชของเม็กซิโกครบสองร้อยปี เขาสร้างสรรผลงานขนาดใหญ่โต เป็นภาพสีน้ำมันขนาดห้าคูณสิบเมตร เมื่อเร็วๆนี้เขาเปิดตัวประติมากรรม ที่ตั้งของวิทยาลัยแห่งโรคข้อกระดูก ที่ปราสาทChapultepec ในเมืองเม็กซิโก ว่าชื่อ “ความหวังและการบรรลุเป้าหมาย” และภาพจิตรกรรมของเขาเกี่ยวกับโรคลมชัก ก็มีการตั้งแสดงถาวร ตรงโถงของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลวงในSaskatoonประเทศแคนาดา

 

 


ปัจจุบัน ช่างเขียนภาพฝาผนัง จิตรกร และ ประติมากรEduardo Urbano Merino มีมากกว่า40นิทรรศการในยุโรปและอเมริกา และผลงานของเขาล้วนอยู่ในภาคเอกชนและชุดสาธารณะมากกว่า16 ประเทศ

โรคลมชัก ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังฝันร้าย

Measurements “ขนาด” ขนาด: 39.3 x47.2นิ้ว เทคนิค:สีน้ำมัน/ผ้าใบ


บนนิทรรศการถาวร ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลวง ในSaskatoonประเทศแคนาดา ด้านซ้ายมีส่วนไม่ดี พายุ โรคภัย เซลล์ประสาทสีดำ (ความเจ็บป่วย) ติดระหว่างสองแห่งในสามผลึกแก้ว ซึ่งลอยอยู่นั่นคือด้านซ้าย บนกลางภาพผู้ป่วยยืนจนกระทั่งมันจะรวมเข้าด้วยกัน ในช่วง เวลาที่แพทย์ต่างกำลังรักษามี ตะแกรง หรือ(ต่าข่ายซึ่งพวกเขาใช้เพื่อวางไว้ในขณะผ่าตัดสมอง แน่นอนผลงานต้นฉบับนั้นเล็กกว่านี้นิดหน่อย)ซึ่งถูกล้อมรอบโดยเซลล์ประสาทมากมาย สีขาว (ผมเดาว่าผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจะเข้าใจ) ซึ่งเครื่อมือด้านเทคโนโลยีผ่านกระจกด้านขวา เป็นสัญญลักษณ์ของหน้าจอ ยังใช้เพื่อกำหนดจำนวนที่พวกเขาจะใช้ ตะแกรง...นายแพทย์คนหนึ่งแตะคนไข้ อีกคนมองภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง...แพทย์ที่มีอายุมากที่สุดเป็นตัวแทนคนชาวลาติน และยังแทนประสบการณ์และถือใบเมเบิ้ลสีแดงซึ่งเป็นดั่งการรวมเป็นหนึ่งเดียวของ ลาติน อเมริกา กับแคนนาดา นายแพทย์คนติดเครื่องหมายที่มีธงของจังหวัดSaskatoon...แต่เพื่อให้มันกระจ่างขึ้น...และจุดที่มีข้อความ...ประเด็น...ครงจุดสีทองของภาพวาด ผมใส่ดอกไม้ชนิดเดียวกันที่ใส่ในธงนั้น ...(จุดสีทองเป็นผลมาจากส่วนแบ่งส่วนบนของภาพผ่านเส้น จุดสูงสุดของจิตรกรรม เส้นสองเส้นตัดกัน ผล...ณจุดนั้นคือดอกไม้)นอกจากนี้จุดยังถูกใช้เพื่อคำนวนเส้นแนวตั้งของทุกเส้น ยกเว้นตรงที่คนไข้ที่ยืน ที่ตรงศีรษะมีตระแกรง...ตะแกรงนี้มาจากพืชที่มีลักษณะเฉพาะ ในผลงานของผมซึ่งแสดงถึงสุขภาพและชีวิต คนไข้ที่เป็นนายแบบ Roman Nibeyro นายแพทย์จริงที่ร่วมเป็นนายแบบคือนายแพทย์ Jose Alfredo Merino Rejme และนายแพทย์ Sergio Ayala ทุกข์ทรมานจากโรคลมชักคือฝันร้าย แต่ด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ทันสมัย คุณสามารถทิ้งมันไว้เบื้องหลัง...

ภาพวาดได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติหลายฉบับ และเบนเว็บไซด์ นิตยสารเหล่านั้นฉบับหนึ่งเป็นนิตยสาร ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสาขาของโรคลมชัก ในโลก “Epilepsy & Behavior”(ลมชัก และ พฤติกรรม) ซึ่งภาพวาดนี้ปรากฎในบทความและหน้าปกฉบับพิเศษ


Tlazilteotl healing a child of epilepsy “ เทวีทลาโซลเตโอทส์ รักษาเด็กป่วยลมชัก” ผลงานขนาด: 2.00x2.00เมตรเทคนิคสีน้ำมัน/ผ้าใบ


ในปีค.ศ.2015 ศิลปินชาวเม็กซิกัน Eduardo Urbano Merino สร้างภาพวาดสมัยใหม่ของเทวีโรคลมชักของแอซเท็ทลาโซเตโอทส์ Tlazilteotlถูกแสดงโดยชาวแอซเท็ก ในฐานะพระแม่ธรณีผู้ให้ชีวิต และพระแม่แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ยังคงถูกมองว่าโหดร้ายและสามารถนำมาซึ่งความวิปริต เธอสามารถเข้าครอบครองบุคคล เจาะเขาหรือเธอ และเป็นสาเหตุของการชัก แต่ยังสามารถรักษาผู้ป่วยโรคลมชักได้ด้วย ภาพใหม่ แสดงให้เห็นเทวีที่เคลื่อนใกล้เข้ามาหาเด็กผู้ซึ่งกำลังจะได้รับการรักษาโดยการวิงวอนของมารดา เทวีคือหนึ่งในรูปที่คร่ำเคร่งที่สุดในงานภาพวาด และเธอก็ถูกวาดให้เป็นสตรีผู้มีอำนาจ มือหนึ่งถือข้าวโพด อันเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิต และในอีกมือหนึ่งคือของเล่นเด็กที่สั่นแล้วมีเสียง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในพิธีกรรมสำหรับการเต้นรำเพื่อขอความอุดทสมบูรณ์ สตรีสวมชุดแอซเท็กตรงหน้าอกกับเครื่องประดับที่มีลักษณะเฉพาะ และล้อมรอบด้วยผ้าห่มแดง ในวัฒนธรรมแอซเท็ก เทวีมีความเกี่ยวข์องกับโลหิต และในอดีตในวัฒนธรรมแอซเท็กโลหิตมีค่าเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวีมีดอกไม้ขาวตรงปลายสุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความเมตตา ดอกไม้ชนิดนี้เห็นได้ทั่วไปในเมืองเม็กซิโก ปากของเทวีเปิดและมันอธิบาย ว่าเมื่อเธอกำลังรักษาคนไข้โรคภัยจะถูกปัดเป่าโดยปากของเทวี ส่วนล่างของภาพวาดพวกเราเห็นฉากในเบื้องหน้าของภาพวาด ที่นั่นมีเด็กกำลังชักและแม่ของเธออุ้มอยู่ เด็กคนนี้ไม่มีรองเท้าและแต่งตัวเหมือนผู้คนในสมัยเรา เขามีเงาสะท้อนของผ้าห่มในกางเกงของเขา สำหรับรายละอียดทางเทคนิคสำคัญในภาพวาด เด็กและแม่ของเขาอยู่ในตำแห่งสีทอง(อัตราส่วนสีทอง)ขององค์ประกอบตำแหน่ง จากจุดนี้สมมาตรของรูปและภาพวาดทั้งหมดถูกคำนวณ เทวีเคลื่อนใกล้เข้ามายังผู้ป่วยที่พร้อมที่ได้รับการรักษา ภาพวาดนี้มีบางสัญลักษณ์บางอย่าง มีแท่นแนวนอนรองรับผู้ป่วยและแม่ของเธอ ในบล็อคที่สองจะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ถูกใช้โดยชาติแรกของแคนาดา ในบล็อคสุดท้ายจากซ้ายไปขวามีใบเมเปิ้ล ภาพวาดยังคงมีด้านข้างสองข้าง และผนังด้านบนที่มีฉากในรูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบ และช่วยให้ จดจ่อกับพลังของเทวีในการรักษาผู้ป่วย ผนังพวกนี้แทนหลายส่วนของพิรามิดแอซเท็กพร้อมเครื่องประดำประดาโบราณที่ผ่านการใช้งานบ่อยมาก สุดท้ายตรงผนังด้านขวามีตะแกรง สิ่งนี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับการชักที่ในผู้ป่วยระหว่างการรักษา ภาพวาดมีใบไม้ตามแบบฉบับผลงานของ Eduardo ภาพวาดนี้อยู่ในนิทรรศการถาวร ณ วิทยาลัยแห่งเภสัช ของมหาวิทยาลัย Saskatchewanแคนาดา










2.3.4.1 ข้อมูลศิลปินผู้ส่งอิทธิพลทางความคิด   


        
2.3.4
งานศิลปะของ เจริญ กุลสุวรรณ
(วรรณรูป)

Charoen Kulsuwan's artwork

(literature)



 
2.3.4.2 นายเจริญ กุลสุวรรณ


นายเจริญ กุลสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พุทธศักราช 2491 ที่บ้านน้ำคำ ต.โพนเมือง อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนบ้านอาจสามารถ อ.อาจสามารถ สมรสกับนางกัลยากุลสุวรรณ มีบุตรธิดา2คน ปัจจุบันมีอาชีพเป็นนักเขียนอิสระ นายเจริญมีความชื่นชอบในการเขียนภาพมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงศึกษาค้นคว้าทั้งในระบบและนอกระบบอย่างตั้งมั่น แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีความสนในในงานด้านวรรณกรรม เพราะชอบเขียนเป็นนิสัย เมื่อเติบใหญ่ชีวิตหักเหเบนเข็มเข้าสู่ร่มพุทธธรรม โดยมีท่านพุทธทาสเป็นผู้อบรมสั่งสอน จึงมีผลส่งถึงการทำงานสร่างสรรค์ในระยะถัดมาโดยได้นำข้อธรรม คำสอนในพระพุธศาสนา มาเป็นสาระหลักในการถ่ายทอดความคิด จินตนาการ ด้วยเทคนิควิธีของวรรณกรรมผสมกับจิตรกรรม ผสมผสานเข้าด้วยกัน สร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานในแบบบทกวีวรรณรูป ที่น่าสนใจ
ผลงานบทกวี วรรณรูปของนายเจริญ มีความพิเศษตรงที่สามารถนำเอาคำที่มีนัยะทางพุทธศาสนามาประกอบสร้างขึ้นภายใต้รูปทรงต่างๆมากมาย โดยเฉพาะที่ค้นตา คือ ภาพของพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่ประกอบสร้างจากข้อความ “อย่าเห็นแก่ตัว” ซึ่งมีผู้นิยมมาประยุกต์เป็นสื่อหลายแบบ เช่น สติ๊กเกอร์ หรือ โปสเตอร์เป็นต้น ผลงานการสร้างรูป เขียนคำของท่านได้ถูกนำมารวบรวมเป็นหนังสือที่มีคุณค่าหลายเล่ม อาทิ “กิเลสที่รัก” (พ.ศ.2540) “กระท่อมเนรเทศทุกข์”(พ.ศ.2547) “เพ่งภาพ พบนิพาน” (พ.ศ.2549) “แสงธรรมในดวงตา” (พ.ศ.2550) ซึ่งใช้ในนามปากกาทยาลุ ส่วน “มองตน” (พ.ศ.2541) ใช้ในนามปากกาเราส์ มหาราษฏร์
นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานในแบบบทกวี วรรณรูปที่สร้างสรรค์เป็นแนวหลัก ที่ถือว่าเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความโดดเด่นที่สุดแล้ว ท่านยังได้ประพันธ์บทเพลงเพื่อเผยแพร่ในวาระและโอกาสต่างๆ รวมถึงการเขียนภาพอันเป็นงานที่รัก โดยเนื้อหาส่วนใหญ่อิงหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาจึงนับว่า นายเจริญ กุลสุวรรณ เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์มีจินตนาการ เป็นต้นแบบของการนำเอาแก่นสาระทางพระพุทธศาสนาสื่อสารผ่านภาพ และคำ ในลักษะบทกวี วรรณรูปได้อย่างน่าสนใจนำไปสู่สารัตถะแห่ง ความจริง ความดี ความงาม
นายเจริญ กุลสวรรณ จึงได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินมรดกอีสาน สาขาวรรณศิลป์ ประเภทบทกวี (วรรณรูป) ประจำปี พุทธศักราช 2551 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น


 
ฐานข้อมูลศิลปินอีสาน “อย่าเห็นแก่ตัว” รูป*คำ*ความ เจริญ กุลสุวรรณ
กลุ่มวิจัยสร้างสรรค์การทดลองทางทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดกิจกรรมโครงการ,นข้อมูลศิลปินอีสาน“อย่าเห็นแก่ตัว” รูป*คำ*ความ เจริญ กุลสุวรรณ ขึ้น ณ อาคารพุทธศิลป์ ริมบึงศรีฐาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างเวลา 9.00 น.-18.00 น.ในวันนี้ (23 พฤษภาคม 2560)
พิธีเปิดงานเริ่มต้นในเวลา 9.30 น. ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงไกร กิจเจริญ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์ เป็นประธานในพิธีเปิด และได้กล่าวรายงานการจัดงานครั้งนี้โดยประธานจัดงาน  ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณภพ เตชะวงศ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณภพ เตชะวงศ์ ได้กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากคณาจารย์ในคณะต่างๆ ได้แก่ คณะศึกษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนหน่วยงานข้างนอกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ประกอบไปด้วย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม การจัดโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลศิลปินอีสาน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่รวบรวมข้อมูลการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินอีสานที่มีชื่อเสียง นำไปเผยแพร่ในรูปหนังสือและนิทรรศการผลงานและเขียนชีวประวัติร่วมถึงการเสวนาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลศิลปินอีสานและเผยแพร่ต่อไป”
สำหรับกิจกรรมภายในงานได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ธัญญา สังขพันธานนท์ ศิลปินแห่งชาติประจำปี 2559 เป็นองค์ปาฐก บรรยายพิเศษเรื่อง “วรรณรูปในงานของทยาลุ
กลุ่มวิจัยสร้างสรรค์การทดลองทางทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการและสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำให้มีการพัฒนาศักยภาพของคณาจารย์สาขาศิลปกรรมศาสตร์ ในด้านการสร้างสรรค์เชิงวิชาการ มุ่งเน้นการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการจากงานสร้างสรรค์ให้เป็นที่ยอมรับ โดยสนับสนุนและเผยแพร่กิจกรรมทางด้านทัศนศิลป์ในระดับต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพทางด้านงานสร้างสรรค์เชิงวิชาการเพื่อความเป็นหนึ่งในภูมิภาคและก้าวหน้าในระดับอาเซียนและระดับนานาชาติ ทั้งเป็นประโยชน์ต่อคุณค่าทางจิตใจ ทางสุนทรียะและประโยชน์ในการดำรงชีวิต

  

2.3.4.2 กิจกรรมโครงการ ข้อมูลศิลปินอีสาน“อย่าเห็นแก่ตัว”
 


 
2.3.4.3 กิจกรรมโครงการ ข้อมูลศิลปินอีสาน“อย่าเห็นแก่ตัว”

     


    
2.3.4.4 กิจกรรมโครงการ ข้อมูลศิลปินอีสาน“อย่าเห็นแก่ตัว”


2.3.5
งานศิลปะของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ
Artwork by Kamin Lertchaiprasert
  

2.3.5.1 คามิน เลศชัยประเสริฐ ผลงานนิทรรศการศิลปะ นั่ง เงิน

  

2.3.5.2 ผลงานนิทรรศการศิลปะ นั่ง เงิน



PROMISE AND ART
สัจจะและศิลปะ

คามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินที่ใช้ศิลปะทำความเข้าใจกับปัจจุบันขณะ ซึ่งนิทรรศการล่าสุดเขาใช้ชื่อว่า ‘ก่อนเกิดหลังตาย’ โดยมีผลงานประติมากรรมสะท้อนการทำความเข้าใจตนเอง การทำความเข้าใจชีวิต และสภาพการเกิด-ดับ ซึ่งนับเป็นผลมาจากมุมมองในศิลปะของเขาที่มี 2 ระดับ ระดับแรกเป็นการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องของเทคนิค และระดับที่สูงขึ้นจนกลายเป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต สิ่งที่เขาสนใจมาตลอดหลายปีมานี้ คือพยายามหาคำตอบของชีวิตผ่านการทำงานในหลายรูปแบบ ทั้งทำภาพยนตร์ ทำงานประติมากรรม เขียนหนังสือ และที่สำคัญเขาใช้ประสบการณ์เพื่อทำความเข้าใจอีกด้วย
“ผมไม่ได้ทำงานศิลปะเพื่อความงาม แต่ทำเพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในการทำความเข้าใจชีวิตและสังคม ผมไม่ได้ติดที่รูปแบบหรือสไตล์ของงาน ผมสนใจเรื่องวิธีคิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการตั้งคำถามแบบที่ต้องการคำตอบ ด้วยการทดลองทำให้ศิลปะที่เป็น Conceptual มีความเป็น Practical มากขึ้น”
นอกจากนั้นเขายังผสมผสานการปฏิบัติศึกษา เฝ้าสังเกต วิเคราะห์ ทดลอง ที่สอดคล้องไปกับหลักทางพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันเขาใช้การวิปัสสนาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานอีกด้วย ซึ่งเป็นวิธีการฝึกจิตที่ทำให้เขามองโลกตามความเป็นจริง



‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ
Posted on ธันวาคม 172016 by Pinko
25 กันยายน 2559 – 6 กุมภาพันธ์ 2560


ณ MAIIAM CONTEMPORARY ART MUSEUM จังหวัดเชียงใหม่
‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ เพียงแค่ชื่อนิทรรศการก็ทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงเรื่องราวทางปรัชญาหรือไม่ก็พุทธศาสนา ยิ่งเมื่อเห็นชื่อของศิลปิน ‘คามิน เลิศชัยประเสริฐ’ ยิ่งเป็นการตอกย้ำสิ่งที่คิดนั้นถูกต้องแล้ว คามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินที่ทำงานศิลปะเพื่อหาคุณค่าและความหมายของชีวิต โดยเชื่อว่าตลอดระยะเวลากว่า 36 ปีที่สร้างสรรค์งานศิลปะ ศิลปะได้ให้คำตอบบางอย่างแก่ชีวิตของเขา นิทรรศการในครั้งนี้รวบรวมผลงานตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ผลงานภาพถ่ายตั้งแต่ครั้งไปศึกษาต้องที่สหรัฐอเมริกา  ผลงานจิตรกรรมชุด ‘วัฎสงสาร’ ที่ไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน เรื่อยมาจนถึงชุด ‘ก่อนเกิด หลังตาย’ ‘ปัจจุบันขณะ’ ที่ประกอบไปด้วยงานวาดเส้น จิตรกรรม หุ่นขี้ผึ้ง งานเครื่องปั่นดินเผา จนกลายมาเป็นงานนิทรรศการ ‘ปัจจุบันขณะ ไร้กาลเวลา’ ในครั้งนี้


2.3.5.3‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ
เมื่อเดินผ่านกำแพงแก้วสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ MAIIAM Contemporary Art Museum จะพบกับกล่องกระจกขนาดใหญ่ให้เราได้สำรวจตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปสำรวจผลงานภายใน ประติมากรรม 4 ชิ้นจัดแสดงเปรียบเสมือนรูปปั้นที่เฝ้าทางเข้าสถานที่แห่งนี้ คามินเล่าว่า ทั้งสี่ชิ้นคือสัญลักษณ์แทน วัฎจักรชีวิตของมนุษย์  เกิด แก่ เจ็บและตาย ในมือจะถือสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์แทนช่วงวัยต่างๆ อาทิ สัญลักษณ์ ‘เกิด’ แสดงออกผ่านประติมากรรมชายหญิง ในมือถือหัวใจ บ้าน ถัดมาคือ ‘แก่’ สื่อถึงการเจริญเติบโตของมนุษย์ที่ต้องพบเจอกับสังคม ศาสนา เศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงมากมาย ในส่วนของ  ’เจ็บ’ เป็นเรื่องของการรักษา การดูแลร่างกาย และสุดท้าย ‘ตาย’ โครงกระดูกสีทอง แวดล้อมไปด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนา

 

2.3.5.4 ‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ

เมื่อเดินผ่านประติมากรรมทั้งสี่ชิ้นมาแล้ว สิ่งแรกที่สะดุดกับสายตาคือ ผนังขนาดใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยติดภาพชายใส่หน้ากากผี จากงานแสดงครั้งก่อนของ เจ้ย อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นกำแพงที่มีภาพวาดติดอยู่หลายร้อยภาพ ภาพวาดที่คามินวาดตั้งแต่ศึกษาอยู่ โดยสังเกตว่าภาพวาดในยุคแรกๆ ยังเต็มไปด้วยสีสันและรายละเอียดมากมาย เมื่อไล่ดูมาเรื่อยๆ จะพบว่าภาพครึ่งหลังเริ่มเหลือเพียงสีดำและลดทอนรายละเอียดลงทีละนิด ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้เขาได้ค้นพบความสงบ ด้านหน้ากลางห้องจัดแสดงจะพบกับเครื่องปั้นดินเผาจำนวน 364 ใบวางเรียงรายกันเป็นวงรี จุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องราวใน 1 ปีเวียนมาพบกัน ถ้วยใบแรกและใบสุดท้ายถูกคั่นกลางด้วยถ้วยของลูกศิษย์ที่แวะเวียนมาหาในช่วงที่เขาสร้างสรรค์ผลงาน บอกเล่าเรื่องราวการค้นพบในช่วง 1 ปีถ้วยแต่ละใบจะมีตัวอักษรสลักไว้ อาทิ ธรรมะ เราคือ… เป็นต้น  หัวโต๊ะฝั่งหนึ่งปรากฏรูปปั้นแทนตัวศิลปินแสดงถึงความมีตัวตนปลายโต๊ะอีกด้านหนึ่งคือเส้นวงกลมสีดำบนกระดาษสีขาวที่สื่อถึงความว่างเปล่า
 

 

2.3.5.5‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ

ถัดมาอีกด้านหนึ่งจัดแสดงภาพวาดและภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ ที่ศิลปินเดินทางไปเยือน รูปถ่ายถูกนำมาเป็นแบบสร้างผลงานจิตรกรรม ทว่าเมื่อเริ่มต้นวาดกลับใช้เวลานานกว่าปกติจนผู้ที่แวะเวียนไปเยี่ยมซักถามว่าเมื่อไหร่ภาพวาดเหล่านี้จะเสร็จคามินฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องวาดภาพให้เสร็จก็ได้ปล่อยให้ภาพค้างอยู่ที่ตรงนี้เพื่อที่วาดภาพเหล่านี้จะได้ไม่กลายเป็นอดีต นอกจากนั้น ภายในยังจัดแสดงภาพวาดช่วงชีวิตของเขาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ช่วงเวลาที่ต้องสูญเสียมารดาปรากฎอยู่ในภาพวาดและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์ผลงานรูปหัวกะโหลกที่อยู่ในโซนถัดมา เพื่อให้คนตระหนักถึงคุณค่าความหมายของการเกิดและการตาย ผลงานชุดหัวกะโหลก เป็นประติมากรรมกะโหลกสีทองขนาดใหญ่ ด้านหลังเป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศหญิงที่เปิดออกให้คนสามารถเข้าไปข้างในได้ เสมือนว่าเป็นการย้อนกระบวนการเพื่อเกิดใหม่อีกครั้ง ด้านหลังเป็นผลงานวิดีโอที่นำเสนอเรื่องราวของการเกิดเพื่อให้ผู้ชมได้เห็นถึงกระบวนการอันยากลำบากและความอดทนของแม่ที่ให้กำเนิดเราออกมา
 

 

2.3.5.6‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ

อีกฝั่งหนึ่งของห้องคือภาพถ่ายที่อัดไว้ในกระจกบานใหญ่แขวนลงมากลางห้องจัดแสดงสีขาว แผ่นหลังของชายหญิงทั้งสองคนนั่งหันหน้าเขาสวนหินญี่ปุ่นหรือสวนเซ็นญี่ปุ่น (คะเระซันซุย) เป็นสวนที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธนิกายเซน สายรินไซ ซึ่งมุ่งเน้นการเข้าถึงแก่นแท้ด้วยการนั่งสมาธิ ภายในภาพศิลปินจินตนาการว่าทั้งสองกำลังนั่งนับหินในสวนและพบว่าหินขาดไป 1 ก้อน ก้อนที่ขาดไปนั้นศิลปินตีความคือตัวเรานั่นเอง นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วเราน่าจะคุ้นตากับภาพหนูที่นอนอยู่บนอุ้งมือเด็กชายที่เป็นภาพโปรโมทงานนิทรรศการ เรื่องราวของหนูและเด็กชายเป็นเรื่องที่ศิลปินประสบพบเจอ วันหนึ่งเขารับรู้เรื่องราวของเด็กชายที่พบลูกหนูและถามพ่อว่าสามารถเก็บหนูตัวนี้ไว้ได้หรือไม่ พ่อเขาตอบเพียงว่าไม่ได้โดยไม่ให้เหตุผลอะไรรองรับคำตอบนั้นเด็กน้อยทำได้เพียงทิ้งลูกหนูไว้เบื้องหลัง ภาพเด็กไม่ได้แทนด้วยสีใดๆ ศิลปินให้เหตุผลว่าเด็กคือสิ่งบริสุทธิ์ที่ยังไม่มีสีใดไปปาดป้ายให้เกิดมลทินมีเพียงความคิดที่อยากจะเก็บชีวิตๆ หนึ่งเอาไว้
 



2.3.5.7‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ

นิทรรศการ ปัจจุบันขณะ ไร้กาลเวลา คืองานที่กระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงธรรมชาติของชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด ปรัชญาที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเราแม้จะมองไม่เห็น อุเบกขาคือหลักธรรมที่ศิลปินหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวเอกของการเล่าเรื่อง การวางเฉย วางใจให้เป็นกลางคือเส้นทางที่คามินเลือกเดิน  ตลอดระยะเวลากว่า 36 ปีในเส้นทางสายศิลปะนอกจากผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาให้คนภายนอกได้เห็นแล้ว ผลงานเหล่านั้นยังซึมซัมเข้าสู่วิถีชีวิตของคามิน อย่างที่เคยกล่าวว่า “การทำงานศิลปะคือการค้นหาคุณค่าของความเป็นมนุษย์ภายในตนเองและสัจธรรมเป็นแนวทางในการปฎิบัติสมาธิอย่างหนึ่ง” งานในครั้งนี้หากใครมีโอกาสได้เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่ สามารถแวะเวียนไปค้นหาสัจธรรมของชีวิตสไตล์ คามิน เลิศชัยประเสริฐ ได้ที่ MAIIAM Contemporary Art Museum ผลงานจัดแสดงถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ไม่แน่ว่าใครสักคนที่ได้ไปดูงานนี้อาจค้นพบสัจธรรมในชีวิตของตนเองก็เป็นได้ 
 

2.3.5.8‘ปัจจุบันขณะ ที่ไร้กาลเวลา’ โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐ



2.3.6
งานศิลปะของ สุธี คุณาวิชยานนท์
Artwork by Sutee Kunavichayanont


 
2.3.6.1 สุธี คุณาวิชยานนท์ ,ผลงานศิลปะร่วมสมัย "ลอย" (Floating)


จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) รุ่นสุดท้าย แล้วเข้าศึกษาศิลปะในระดับ ปวช.ที่วิทยาลัยช่างศิลป กรมศิลปากร 1 ปีก่อนฉลอง 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ สอบ “เอ็นฯติด” เข้าเรียนในคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นนักศึกษารุ่นที่ 2 เมื่อปี 2527 แล้วในปีรุ่งขึ้นเข้ามาเรียนที่ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ โดยได้รับปริญญาศิลปบัณฑิต สาขาภาพพิมพ์ ในปีการศึกษา 2532 ต่อมาได้เข้าศึกษาใน ซิดนีย์ คอลเลจ ออฟ ดิ อาร์ตส์ (Sydney College of the Arts) มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้รับปริญญามหาบัณฑิต สาขาทัศนศิลป์ เมื่อปี 2536
สุธีเข้ารับราชการสอนในภาควิชาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี 2537 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งทางวิชาการเป็น รองศาสตราจารย์ และหัวหน้าภาควิชาทฤษฎีศิลป์ นอกเหนือจากอาชีพข้าราชการอาจารย์แล้ว สุธียังเคยเขียนบทความเกี่ยวกับศิลปะในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อาทิ คอลัมน์ ”แกลเลอเรีย” ในหนังสือกรุงเทพวันอาทิตย์ ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เดือนละสองครั้ง และคอลัมน์ “ศิลปวัฒนธรรม” แบบเดือนละครั้งใน สยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์ หนังสือเล่มแรกของเขาคือ จากสยามเก่าสู่ไทยใหม่ : ว่าด้วยความพลิกผันของศิลปะ จากประเพณีสู่สมัยใหม่และร่วมสมัย ตีพิมพ์เมื่อปี 2546 และต่อมาในปี 2554 สุธีได้ตีพิมพ์งานเขียนอีก 2 เล่มคือ ทัศนศิลป์ และ 10 คำถามที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับศิลปะ และในปี 2548 สุธีได้ร่วมกับ ปัญญา วิจินธนสารและลักขณา คุณาวิชยานนท์ รับหน้าที่เป็นภัณฑารักษ์จัดนิทรรศการ คนตายอยากอยู่ คนอยู่อยากตาย ในศาลาไทยในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่
นอกจากนี้ สุธียังมีบทบาทเป็นผู้ทำงานศิลปะอีกด้วย สุธีมีทั้งนิทรรศการศิลปะแบบกลุ่มและเดี่ยวหลายครั้ง อาทิเช่น ฝนตกขี้หมูไหล (ปี 2541)ภาระอันรื่นรมย์ (ปี 2542)สูตรสำเร็จประเทศไทย (ปี 2548)โหยสยาม ไทยประดิษฐ์ (ปี 2553)ดีเป็นบ้า และ โลกที่ไร้การเมือง (ปี 2555)
ในปี 2545 สุธีได้รับรางวัลทุนสร้างสรรค์ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี จากหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร และในปี 2549 ได้รับรางวัลแดง มนัส เศียรสิงห์ จากสถาบันปรีดี พนมยงค์ นอกจากนี้ผลงานของสุธียังได้รับคัดเลือกเข้าร่วมแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติหลายครั้ง เช่น Trace, Liverpool Biennial of Contemporary Arts, Liverpool, UK. (ปี 2542) Imagined Workshop, the 2nd Fukuoka Asian Art Triennale 2002, Fukuoka Asian Art Museum, Japan. (ปี 2545) The 5th Asia-Pacific Triennial of Contemporary Art, Queensland Art Gallery/Gallery of Modern Art, Brisbane, Queensland. (ปี 2549)
แนวผลงานที่มีชื่อเสียงมากของสุธีคือ ผลงานสามมิติที่สร้างกิจกรรมให้คนดูสามารถมีส่วนร่วมกับผลงาน เช่น ประติมากรรมยางรูปคน ช้าง ควายและเสือ ในผลงานชุดนี้คนดูต้องบริจาคลมหายใจโดยการเป่าลมเข้าไปในผลงานเพื่อให้ประติมากรรมเหล่านั้นฟื้นกลับมา (ราวกับว่า) มีชีวิตอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีผลงานชุด ห้องเรียนประวัติศาสตร์ (ถนนราชดำเนิน) ผลงานชิ้นนี้คนดูสามารถพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของไทยได้ด้วยตนเอง โดยการฝนถูภาพสลักหน้าโต๊ะนักเรียนลงบนกระดาษ
พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติหลายแห่งได้เก็บสะสมผลงานของสุธีไว้ในคลัง อาทิ Fukuoka Asian Art Museum และ Mori Art Museum ในญี่ปุ่น Singapore Art Museum ในสิงคโปร์ H&F Collection ในเนเธอร์แลนด์ Queensland Art Gallery ในออสเตรเลีย FEFW Collection, Museum of Contemporary Photography ในสหรัฐอเมริกา ARTER Foundation ในตุรกี



 
2.3.6.2 ผลงาน ในนิทรรศการ Three Gems and Seekers

 

The Eternal Banality | ความซ้ำซากอันเป็นนิรันดร์



ความซ้ำซากอันเป็นนิรันดร์ และ วันวานอันแสน
หวาน
๒๕๔๐–๒๕๔๕ (1997-2002)


คำถามที่ตัวข้าพเจ้าสงสัยและพยายามหาความพอดี
ระหว่าง ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย กับ ความหลงตัวและคลั่งชาติ
ระหว่าง ความสุขกับขณะปัจจุบัน กับ การลุ่มหลงในวันวานอันแสนหวาน
ระหว่าง ความกังวลกับอนาคตที่ไม่คมชัด กับ การโหยหาวันวานที่ดีกว่าวันนี้และวันหน้า
ระหว่าง การฟื้นฝอยหาตะเข็บ กับ การปิดตาและแกล้งลืมแผลเก่า
ระหว่าง การเจ็บปวดจากความจริง กับ การเลือกจำแต่ประวัติศาสตร์ที่งดงาม
ระหว่าง ความปลาบปลื้มกับภูมิปัญญาไทย กับ การกอดซากหากินกับความสำเร็จเก่าๆ
ระหว่าง เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ กับ ท่องกระแสโลกไปอย่างเมามัน
คำถามส่วนตัวที่ (อาจจะ) กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” แล้ว (อาจ) ลามไปเป็น “วาระนานาชาติ” ได้
      



 
     
2.3.6.3 ผลงาน ในนิทรรศการ Eternal banality
      
 
  
2.3.6.4 ผลงาน ในนิทรรศการ Eternal banality
  
    
2.3.6.5 ผลงาน ในนิทรรศการ Stereotyped Thailand | สูตรสำเร็จประเทศไทย
 

2.3.6.6 ผลงาน ในนิทรรศการ Stereotyped Thailand | สูตรสำเร็จประเทศไทย
 

2.3.6.7 ผลงาน ในนิทรรศการ Stereotyped Thailand | สูตรสำเร็จประเทศไทย

“สูตรสำเร็จประเทศไทย”


เกริ่นนำความคิด

ชีวิตของเราคนไทยในทุกวันนี้ ถูกแวดล้อมไปด้วยความจำเจซ้ำซาก หลายสิ่งหลายอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนไทย ล้วนแล้วแต่ถูกสังคมตั้งโปรแกรมเอาไว้ มันทำให้เราคิด พูดและปฏิบัติแบบฉับพลันอัตโนมัติ โดยไม่ต้องขบคิดใดๆ มันกลายเป็นสูตรสำเร็จ จนทำให้หลงเคลิ้มคิดไปว่า “สูตร” ที่ว่ามันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติที่จริงแท้ เป็นของตายตัวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ปรับไม่ได้ เพราะมันจริงแท้สุดยอด
แท้ที่จริงแล้ว “สูตรสำเร็จ” เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมและสังคม มันเป็นมายาคติ เมื่อคนในสังคมถูกตั้งโปรแกรมมากๆเข้า มันก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา ทำให้คนเชื่อถือแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ผลิตซ้ำลอกเลียนต่อๆกันมา
ไม่ว่าจะเป็นสูตรสำเร็จเกี่ยวกับความเป็นไทย ที่ี่มักจะวนเวียนผูกขาดอยู่กับ “ยิ้มสยาม” พุทธ/ไสยที่เน้นพิธีกรรม ความอ่อนหวานชดช้อยแบบกุลสตรี ความรักชาติแบบ “แต่ถึงรบไม่ขลาด” ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับราชาชาตินิยม ที่ได้กลายเป็นความทรงจำแห่งชาติ ศิลปะประเพณีอันเก่าแก่ที่มีราชสำนักภาคกลางและกรุงเทพฯเป็นแนวทางกระแสหลัก
แนวคิดและตัวตนของนิทรรศการ
นิทรรศการ “สูตรสำเร็จประเทศไทย” โดย สุธี คุณาวิชยานนท์ คือการแสดงผลงานที่เอาความเป็นไทยมาหยอกเล่น กระเซ้าเย้าแหย่ และคุ้ยเขี่ยแบบแสบๆคันๆ
“100 ต้นสนแกลเลอรี่” สถานที่จัดงานจะถูกแปรสภาพให้กลายเป็นโรงเรียนสำเร็จรูป คนดูทุกชั้นวรรณะเพศวัยและอาชีพ จะได้หวนกลับไปเป็นเด็กเดินเข้าห้องเรียน พบกับโต๊ะนักเรียนทำจากไม้สักนับสิบตัว พร้อมข้อความและภาพแกะสลักบนหน้าโต๊ะ คนดูสามารถพิมพ์สูตรสำเร็จแบบไทยๆ ด้วยวิธีการฝนถูแบบรับบิ้ง แล้วนำกลับไปทำประโยชน์อะไรก็ได้ตามใจชอบ
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงโมเดลตึกระฟ้าแบบไทยๆและโมเดลเมืองไทยในอุดมคติ พร้อมโมเดลบิลบอร์ดโฆษณาชวนเชื่อที่กินใจ ป้ายภาพวีรบุรุษ/วีรสตรีที่สูงตระหง่านเร้าใจให้รักชาติแบบสูตรสำเร็จ และยังมีสิ่งละอันพันละน้อยที่ดาหน้ามาโน้มน้าวให้คุณอยากเป็นคนไทย (แม้ว่าคุณจะเป็นไทยแล้วก็ตาม)
“สูตรสำเร็จประเทศไทย” เป็นการเอาความเป็นไทยมาหยอกเล่น กระเซ้าเย้าแหย่ และคุ้ยเขี่ยแบบแสบๆคันๆ



  
2.3.6.8 ผลงาน ในนิทรรศการ ดีเป็นบ้า

 



2.3.6.9 ผลงาน ในนิทรรศการ ดีเป็นบ้า

 

2.3.6.10 ผลงาน ในนิทรรศการ ดีเป็นบ้า



Crazily Good | ดีเป็นบ้า


ที่ว่า “ดีเป็นบ้า!” มันดีงามเลิศเลอขนาดไหน ถึงได้ “เป็นบ้า”
ดีเป็นบ้า! คือชื่อชวนคิดชวนให้ค้นหาความจริงแท้ ดีและงาม ดีเป็นบ้า! คือยำใหญ่ทางความคิดของสุธี คุณาวิชยานนท์ ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ การเมืองและวัฒนธรรม ด้วยความเชื่อในเรื่องเอกภาพของความแตกต่างแปลกแยก แม้ว่าแต่ละเรื่องในนิทรรศการจะดูเหมือนว่าไม่เข้ากัน แต่เมื่อถูกจัดวางร่วมกัน สุนทรียภาพและความหมายบางอย่างอาจบังเกิดขึ้น
ผลงานประกอบด้วยเรื่องราวของ


           - การผสมผสานอย่างพิศดารของมรดกไทย ระหว่างนวดแผนโบราณกับมวยไทย
           - ความคิดและค่านิยมที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ (ผ่านชื่อภาพยนตร์แนวบู๊ โป๊และโรแมนติค)
           - คำพูดและวาทะที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของสังคมในเรื่องวัฒนธรรมและการเมือง เช่น “ฉันรักธรรมชาติที่ควบคุมได้”, “รักศิลปะ แต่เกลียดศิลปิน”, “อยากเลิกอยาก”, “ถอยไม่ได้ ไปไม่ถึง”, “ฝูงสัตว์ต้องต้อน ฝูงชนต้องนำ”, “รักประชาธิปไตย แต่เกลียดเสียงข้างมาก”
           - ประเทศไทยที่อยู่ในสภาพหัวทิ่ม


ผลงาน 3 มิติ ศิลปะแนวตอบสนองสองทางและจิตรกรรมแต่ละชิ้นจะทำหน้าที่กระตุ้นให้คนดูคิดและประติดประต่อเรื่องและความหมายด้วยตัวเอง ซึ่งอาจมีเรื่องและความหมายที่แตกต่างกันตามจริต รสนิยม โลกทัศน์และประสบการณ์ของแต่ละคน







บรรณาณุกรม











ศิลปะบำบัด

https://hmong.in.th/wiki/Therapeutic_art


Muhammed’s Epilepsy













watbuakhwan.com/blog/1008/อานิสงส์แห่งการอุปัฏฐา.html































Rewriting History: Did All Those Famous People Really Have Epilepsy?











Concealed neuroanatomy in Michelangelo's Separation of Light From Darkness in the Sistine Chapel.


Neurosurgery: doi: 10.1227/01.NEU.0000368101.34523.E 1






©https://www.alexgrey.com/art/paintings/soul/adi-da/









Theologue  -Alex Grey






suffering-from-epilepsy




tlazolteotl-curing-a-child




ฐานข้อมูลศิลปินอีสาน “อย่าเห็นแก่ตัว” รูป*คำ*ความ เจริญ กุลสุวรรณ





ฐานข้อมูลศิลปินอีสาน “อย่าเห็นแก่ตัว” รูป*คำ*ความ เจริญ กุลสุวรรณ














http://www.rama9art.org/sutee/visual.html











http:www.oknation/blog/lee-lub/2010/04/17/entry-5


YOGA FOR EPILEPSY -PERSON WITH EPILEPSY ARE EMINENT PERSON


httpswww.slideshare.netrobymariavincentyoga-for-epilepsy















 


Profile

 

ประวัติผู้สร้างสรรค์งาน

 

     นาย ภาณุภณ สุขศรี เกิดวันจันทร์ ที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2526 ที่อำเภอ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย จาก โรงเรียน สาธิตจุฬาลงค์กรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2543 และ เข้าต่อในหลักสูตรศิลปบัณฑิต ที่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อพุทธศักราช 2544 โดยมีผลงานนิทรรศการศิลปะที่เข้าร่วมจัดแสดงต่างๆดังนี้

 

     นิทรรศการศิลปะ “Establish” สถาบันปรีดี พนมยงค์ เขต ทองหล่อ กรุงเทพมหานคร

     นิทรรศการศิลปะ “Trick” On Art Gallery เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

     นิทรรศการศิลปะ “Re-Act” สถาบันปรีดี พนมยงค์ เขต ทองหล่อ กรุงเทพมหานคร

     นิทรรศการศิลปะ  "The Pancakes & Booze Art Show 2025" 

 

 อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 138/1 ซอย ปุณณวิถี 6 สุขุมวิท 101 แขวง บางจาก เขต พระโขนง กรุงเทพมหานคร 10260  โทรศัพท์ 02-332-4315,02-332-74577

 

PANUPON SUKHSRI 

138/1 Sukhumvit 101 (Punnavithi 6)

Bangchak, Prakhanong

Bangkok 10260

e-mail:

panuponsukhsri_1983@hotmail.com panuponapiwat@gmail.com

 

  P.S. NOON     運命の午後のメモ

                                                          Unmei no gogo no memo                                                          

จดหมายเหตุ ยามบ่าย แห่ง ปัจฉิมลิขิต

 

OBJECTIVE:                                    To work in a position where I can use my educational background and skills in art

 

EDUCATION:                                   BFA Visual Arts, Bangkok University, Pathumthani, 2008

 

 

WORK EXPERIENCE:                   Freelance Artist , 2012 - Present

      photographerฯ

      painter ฯ

      logo designer ฯ

 ๏     superflat ฯ

      Art Therapy  ฯ

 

PERSONAL ATTRIBUTES:                willing to learn ฯ

   honest ฯ

   responsible ฯ

 able to follow directions ฯ

 

SKILLS:                                                 proficient in Microsoft Office and Adobe ฯ











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น