Epilepsy Art Therapy :
Art Tribute Old Gender Theory Silpakorn University University Chalood's Mural Painting-Retrospective "Healing Shaman era in Thailand" bangkok art and culture centre2013 ©Panupon Sukhsri
เพียงบทเรียน จาก ศิลปากร ศิลปะบำบัดวัยชรา บทสุดท้ายแห่งโลกเครือข่าย จากวิถี "ศิลปิน ชนบท เชมัน” คนหนึ่ง 2556©ภาณุภณ สุขศรี
๏#epilepsyartist#epilepsyart#arttherapy#epilepsyarttherapy#てんかんアートセラピー#ศิลปะบำบัดลมชักฯ
“เป็ นไทยในยุคหนึ่ง เราเป็ นไทยก็ต้องทาํ อะไรไทยๆ งานเผาทิง ผมเสียดายเพราะมีคนถาม เหลือ้ แค่สองสามชิน ร้ ูป landscape รูปคนธรรมดา คดิ อะไร เกิดความทะนงตัว เว็บทาํ อกี เมื่อไรก็ดี เท่านั้น”
Chalood's Mural Painting - Retrospective
Date : 31 May - 18 August 2013
Location: Main Gallery, 9th floor
By BACC Exhibition Department, Bangkok Art and Culture Centre
bacc exhibition
The retrospective exhibition of Professor Chalood Nimsamuer, the national artist and the master who creates the artwork for five decades, presents his artworks from past to present. For example, installation arts in 'Rural Artist' concept, drawings of 'Poem', 'Daughter' and paintings of 'Dhammasilpa'. This exhibition will also feature his latest collection, 'Mural Paintings'.
Chalood Nimsamer, a senior artist and one of Silpa Bhirasri’s star student, is an influential figure in Thailand’s contemporary art. As an experimental artist, Chalood has created many valuable works of art earning him the honor of being titled the “Distinguished Artist” (Painting) in 1959 and "National Artist" (Sculpture) in 1998. Being a great teacher, Chalood has fostered plenty of artists in the art scene. He also pioneered Silpakorn University’s education by establishing the Department of Graphic Arts (1965) and the Department of Thai Arts (1976) in the Faculty of Painting Sculpture and Graphic Arts. Apart from that, he is also an art scholar who has written textbook “Composition of Art” together with various books and articles on arts that have proven to be very beneficial to Thai art world.
However, Chalood has always addressed himself a "rural artist" who still continuously produces artworks in order to pass on his experiences to his students considering himself as their “teacher”. This exhibition is thus not being held just to honor Chalood Nimsamer on any particular occasion but rather do so from realizing the value of his creations throughout 60 years and hoping to showcase his valuable art to the public. It creates an opportunity for people to appreciate and be acknowledged about the thoughts and creativity of one of the most important figures in Thai contemporary art history.
The exhibition is displayed in six series of artworks including:
"Mural Painting" series is the latest artworks created during 2010-2013 to express his emotions, thoughts, and imaginations that happened during different periods of life in relation to surroundings and situations. These are reflected through main figures which are a woman and a child. It symbolizes the pure and gentle feelings seen alongside figures which are inspired by nature and cultural surroundings through simple techniques such as ink drawing and acrylic-painted on Sa papers, which are all natural materials. All of the artworks are fully displayed on the walls as a way of embracing visitors to come and experience the atmosphere of the mural painting as a whole. It is a contemporary mural painting that does not tell a story of Buddhism but instead a story told through life experiences of the artist.
"Dharma Silpa" series is the work that Chalood started around 1987-1996 with no intention to express any Buddhism meaning but rather as a tool to convey his mindset that was nurtured by dharma. The artwork has a simplistic form with serene structure and its soft color tone pleases the eye. The series reflects the purity of mind that is calm and free which is a result of a meditational state that occurred while working and studying Buddhism.
"Drawing” series represents the technique that Chalood especially adores and had a chance to create many artworks with such technique as it is a simple technique yet a great way of expressing emotions and feelings. The series consists of four drawings which are "Visual Poetry" (1982-1983), "Daughters" (1985), "Sculpture in Landscape" (2007), and "Meditative Drawing” (2011).
“Rural Environmental Sculpture” series emerged in 1982. Chalood drew his inspiration from the way of life of Thais in a rural area to create artworks with styles and expressions that are ahead of its time. He used objects and materials around him, both natural and artificial that he could find in daily life, as a medium of his expression. He began by hanging and placing the objects on a tree stump then moving towards hanging the objects on his own body as a means of expressing his idea and a relationship between human and nature in Thai rural way of life. From the historical view of Thai contemporary art, Chalood is considered one of the early pioneer in Thai conceptual art.
“Rome Drawings and Abstract Prints” series represents his study of intaglio technique in Rome around 1956-1958 and lithograph in the United States of America in 1964. Chalood went around drawing landscape at various locations in Rome, Italy and Paris, France. These artworks including several abstract graphic arts using an interesting technique have never been presented to public.
“Early Works” series represents his works during 1955-1962. Chalood created artwork which reflected Thai rural life with the printmaking technique of wood engraving and he is the first person in Thailand who experiment with Masonite or hardboard replacing the use of real wood. He then moved on to work with woodcut technique. His works during this period consisted of monochrome as well as color woodcuts. It is a discovery of technique that is one with artist’s emotional expression telling a simple story with simple shapes and reflecting true essence of being Thai. Moreover, there was also the "Rural Life, Tempera and gold leaf" series (1956) which Chalood was the first person to experiment with gold leaf on contemporary art pieces. It was an important step to harmoniously incorporate traditional Thai art with contemporary art in order to convey the stories of Thai way of life, leading to an emergence of Thai contemporary art.
จิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง
วันที่ : 31 พฤษภาคม - 18 สิงหาคม 2556
สถานที่: ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9
โดย ฝ่ายนิทรรศการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
พิธีเปิดนิทรรศการในวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556
bacc exhibition
นิทรรศการแสดงผลงานย้อนหลังของศาสตราจารย์ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติและครูคนสำคัญผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะตลอดระยะเวลามากกว่า 50 ปี จัดแสดงผลงานศิลปะตามช่วงเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น ผลงานชุดศิลปินชนบท ศิลปะจัดวาง และศิลปะแบบคอนเซปชวล อาร์ต (Conceptual art), ผลงานวาดเส้นชุดบทกวี, ชุดลูกสาว, ชุดธรรมศิลป์ และผลงานชุดใหม่ "จิตรกรรมฝาผนัง"
ศาสตราจารย์ชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินอาวุโสหนึ่งในศิษย์เอกคนสำคัญของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้มีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะร่วมสมัยไทย ในฐานะศิลปินนักค้นคว้าทดลอง ศาสตราจารย์ชลูดได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีคุณค่า จนได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาจิตรกรรม ในปี พ.ศ.2502 และศิลปินแห่งชาติ สาขาประติมากรรม ในปี พ.ศ.2541 ในฐานะครูผู้ยิ่งใหญ่ ศาสตราจารย์ชลูดได้สร้างศิลปินมากมายให้กับวงการศิลปะ และเป็นผู้บุกเบิกการเรียนการสอน ด้วยการจัดตั้งภาควิชาภาพพิมพ์ (พ.ศ.2508) และภาควิชาศิลปไทย (พ.ศ.2519) ในคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นอกจากนี้ยังเป็นนักวิชาการศิลปะผู้สร้างสรรค์ตำราวิชาองค์ประกอบศิลป์ รวมไปถึงหนังสือ และบทความทางศิลปะที่เป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษามากมาย
แต่ทว่าสำหรับศาสตราจารย์ชลูดแล้ว ท่านกล่าวเสมอว่า ตนเป็นเพียง “ศิลปินชนบท” คนหนึ่งที่ยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเอาประสบการณ์เหล่านั้นไปถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ลูกหาในฐานะ “ครู” นิทรรศการครั้งนี้มิได้จัดขึ้นเพื่อยกย่องหรือเชิดชูเกียรติท่านเนื่องใน วาระพิเศษใด หากทว่าต้องการนำเสนอและเผยแพร่ผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าตลอดเส้นทางการสร้าง สรรค์ที่ยาวนานกว่า 60 ปี เพื่อให้ผู้ชมได้ซึมซับสุนทรียภาพ และเรียนรู้ผลงานศิลปะของศิลปินคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะ ร่วมสมัยไทย
โดยแบ่งการจัดแสดงผลงานออกเป็น 6 ชุดด้วยกัน คือ
ผลงานชุดจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็นผลงานชุดปัจจุบัน ที่ศาสตราจารย์ชลูดสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2553-2556 เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสัมพันธ์ไปกับสภาวะแวดล้อมและสถานการณ์รอบตัว ผ่านรูปทรงหลักคือ ภาพผู้หญิงและเด็ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์ อ่อนโยน ปรากฏอยู่ร่วมกับรูปทรงซึ่งมีที่มาจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม โดยใช้เทคนิคที่เรียบง่ายอย่างการวาดเส้นด้วยหมึก และการระบายสีอะคริลิคลงบนกระดาษสา ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความเป็นธรรมชาติ ผลงานทั้งหมดถูกจัดวางเรียงรายต่อเนื่องกันจนเต็มฝาผนัง เพื่อโอบล้อมผู้ชมให้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศของผลงานโดยรวม เป็นจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยที่มิได้บอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา แต่ทว่ากำลังบอกเล่าเรื่องราวทางศิลปะจากประสบการณ์ชีวิตของศิลปิน
ผลงานชุดธรรมศิลป์ เป็นผลงานที่ศาสตราจารย์ชลูดสร้างขึ้นในช่วงประมาณปี พ.ศ.2530-2539 โดยมิได้มีเจตนาสื่อแสดงความหมายธรรมะในพุทธศาสนา แต่ถ่ายทอดออกมาจากสภาวะจิตใจที่มีธรรมะเป็นเครื่องกล่อมเกลา ด้วยรูปแบบผลงานที่เรียบง่าย รูปทรงอันสงบนิ่ง และสีสันที่นุ่มนวลสะอาดตา สะท้อนความบริสุทธิ์ของจิตใจที่สงบนิ่งและปล่อยวาง อันเป็นผลมาจากภาวะของสมาธิ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะทำงาน และจากการศึกษาปฏิบัติธรรม
ผลงานวาดเส้น เป็นเทคนิคการสร้างสรรค์ที่ศาสตราจารย์ ชลูดมีความชื่นชอบเป็นพิเศษ และได้สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคนิคนี้ไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นเทคนิคที่เรียบง่าย แต่สามารถถ่ายทอดและแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ผลงานวาดเส้นที่นำมาจัดแสดงมี 4 ชุดด้วยกัน คือ ผลงานชุด “บทกวี” (พ.ศ.2525-2526) ผลงานชุด“ลูกสาว” (พ.ศ.2528) ผลงานชุด “ประติมากรรมในทิวทัศน์” (พ.ศ.2550) และผลงานชุด “วาดเส้นภาวนา” (พ.ศ.2554)
ผลงานชุดประติมากรรมชนบท เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2525 ศาสตราจารย์ชลูดนำแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตชนบทไทย มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีความก้าวหน้าล้ำสมัย ทั้งในด้านรูปแบบและลักษณะการแสดงออก ด้วยการหยิบจับวัตถุและวัสดุจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งวัสดุจากธรรมชาติ และวัสดุสังเคราะห์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันมาเป็นสื่อในการแสดงออก เริ่มจากการนำวัสดุมาห้อยแขวนวางพาดบนตอไม้ พัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงการนำวัสดุมาห้อยแขวนบนร่างกายตนเอง เพื่อเป็นสื่อแสดงความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในวิถีชีวิตชนบทไทย ซึ่งนับได้ว่าศาสตราจารย์ชลูดเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวทางการทำงานศิลปะเชิง ความคิด (conceptual art) ในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมสมัยไทย
ผลงานวาดเส้นจากโรมและภาพพิมพ์นามธรรม ในช่วงเวลาที่ เดินทางไปศึกษาเทคนิคภาพพิมพ์กลวิธีร่องลึก (intaglio) ที่ประเทศอิตาลี ประมาณปี พ.ศ.2499-2501 และศึกษาเทคนิคภาพพิมพ์หิน (lithograph) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2507 นั้น ศาสตราจารย์ชลูดได้เดินทางไปวาดภาพทิวทัศน์ตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี และกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผลงานที่ยังไม่เคยจัดแสดงที่ใดมาก่อน นอกจากนี้ยังมีผลงานภาพพิมพ์นามธรรม ซึ่งมีเทคนิคที่น่าสนใจอีกจำนวนหนึ่งด้วย
ผลงานยุคแรก ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2498-2505 ศาสตราจารย์ชลูดสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนภาพวิถีชีวิตชนบทไทย ด้วยเทคนิคภาพพิมพ์แบบแกะลายเส้น (engraving) โดยทดลองนำเมโซไนท์ (mesonite) หรือกระดาษอัดแข็งมาใช้แทนไม้เป็นคนแรกของไทย ต่อมาได้สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคนิคภาพพิมพ์แกะไม้ (wood cut) ซึ่งมีทั้งภาพพิมพ์ขาวดำและภาพพิมพ์สี เป็นการค้นพบเทคนิคที่มีความกลมกลืนกับอารมณ์การแสดงออก ด้วยเรื่องราวและรูปทรงที่เรียบง่าย แสดงออกถึงความเป็นไทย นอกจากนี้ยังมีผลงานจิตรกรรมชุด “ชีวิตชนบทปิดทอง” (พ.ศ.2499) ซึ่งศาสตราจารย์ชลูดได้ทดลองติดทองคำเปลวลงบนจิตรกรรมร่วมสมัยเป็นคนแรก นับเป็นก้าวสำคัญในการนำลักษณะของศิลปะไทยแบบประเพณีมาปรับใช้ เสนอภาพเรื่องราววิถีชีวิตไทย ทำให้เกิดลักษณะใหม่ของศิลปะร่วมสมัยที่แสดงลักษณะไทยได้อย่างลงตัว
ดำเนินงานโดย ฝ่ายนิทรรศการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ศิลปะบำบัด 6 ประโยชน์จากการใช้ศิลปะมาช่วยร่วมในการรักษาผู้สูงวัย (สศส.)
งานศลปะช ิ วงรอยต่อระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ของ ่
วงการศลปะสมัยใหม่ของไทย ท่านสนใจในผลงานศ ิ ลปะหลายรูปแบบและได ้สร้างสรรค์ผลงาน ิ
ศลปะที่มีคุณค่าไว ้เป็นจํานวนมากทั้งวาดเส ิ น จิตรก ้ รรม ประติมากรรม ศลปะภาพพิมพ์ ิ และ สอ
ื่
ผสม โดยมีความเชอว่า ศ ื่ ลปะคือส ิ งที่แสดงออกซ ิ่ งแก่นแท ้ของความเป็นมนุษย์ ึ่ เพื่อความเป็น
มนุษย์ที่ดีขึ้นของมนุษยชาติ
ิ วนตัวออกมาในงานของตนไม่ด ้านใดก็ด ้าน ่
หนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเน้นในด ้านความเป็นจริงหรืออุดมคติด ้านชวิตหรือวิญญาณ ด ้านรูปธรรมหรือ ี
นามธรรม ด ้านลบหรือด ้านบวกก็ตาม
วิกิพีเดีย
ชาวกะเหรี่ยง
ชาวกะเหรี่ยง[ a ] ( / k ə ˈ r ɛ n / ⓘ kə- REN ) หรือที่รู้จักกันในชื่อKayinเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของผู้คนที่พูดภาษากะเหรี่ยงและเป็นชนพื้นเมืองในภาคใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมาร์รวมถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีและรัฐกะเหรี่ยง ชาวกะเหรี่ยงคิดเป็นประมาณ 6.69% ของประชากรชาวพม่า [ 1 ]ชาวกะเหรี่ยงประกอบด้วยกลุ่มย่อยประมาณ 20 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวสะกอและชาวโป [ 7 ]ชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษากะเหรี่ยงอื่นๆ เช่นปะโอกะเรนนีและกะเหรี่ยงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว [ 7 ]
คาเรน
ธงสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง
หญิงชาวกะเหรี่ยงในชุดพื้นเมือง ปี 1912
ภูมิภาคที่มีประชากรจำนวนมาก
พม่า
3,371,100 [ 1 ]
ประเทศไทย
350,000 (2000) [ 2 ]
ประเทศสหรัฐอเมริกา
215,000 [ 3 ]
ออสเตรเลีย
13,113 [ 4 ]
แคนาดา
6,050 [ 5 ]
อินเดีย ( หมู่เกาะอันดามัน )
2,500 [ 6 ]
ภาษา
ภาษากะเหรี่ยงได้แก่กะเหรี่ยงสะกอกะเหรี่ยงโปกะเรนนีและปะโอ
ศาสนา
พุทธ ศาสนานิกายเถรวาทคริสต์ศาสนานิกายกะเหรี่ยง
บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับสคริปต์พม่า หากไม่มี การรองรับการแสดงผลที่เหมาะสมคุณอาจเห็นเครื่องหมายคำถาม กล่อง หรือสัญลักษณ์อื่นๆแทนสคริปต์พม่า
บทความนี้มีสคริปต์ของ Karen หากไม่ได้ รับการสนับสนุนการแสดงผลอย่างเหมาะสมคุณอาจเห็นเครื่องหมายคำถาม กล่อง หรือสัญลักษณ์อื่น ๆแทนสคริปต์ของ Karen
อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวกะเหรี่ยงได้รับการหล่อหลอมอย่างมีนัยสำคัญจากการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ มิชชันนารีคริสเตียนการปลดอาณานิคมและการพัฒนาทางสังคมและการเมืองในเมียนมาร์ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยรวมมีความแตกต่างและกระจัดกระจาย เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจำนวนมากไม่ได้มีภาษา วัฒนธรรม ศาสนา หรือลักษณะทางวัตถุที่เหมือนกัน[ 8 ]อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวกะเหรี่ยงโดยรวมเป็นการสร้างสรรค์ที่ค่อนข้างทันสมัย ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 ด้วยการที่ชาวกะเหรี่ยงบางส่วนเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ และได้รับการไกล่เกลี่ยโดยนโยบายและการปฏิบัติของอาณานิคมอังกฤษ[ 9 ] [ 10 ]
กลุ่มกบฏกะเหรี่ยงซึ่งนำโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) เป็นหลัก ได้ทำสงครามกับรัฐบาลพม่ามาตั้งแต่ต้นปี 2492 เป้าหมายเดิมของ KNU คือการสร้างบ้านเกิดของชาวกะเหรี่ยงที่เป็นอิสระที่เรียกว่าเกาะทูเลแต่ตั้งแต่ปี 2519 พวกเขาได้เปลี่ยนมาเรียกร้องให้มีระบบสหพันธรัฐในเมียนมาร์แทน ถึงกระนั้น KNU ก็ยังปฏิเสธคำเชิญให้พูดคุยกับคณะทหารพม่า[ 11 ]
ชาติพันธุ์นาม
การกระจาย
ประวัติศาสตร์
ภาษา
ศาสนา
วัฒนธรรม
คำนาม
ดูเพิ่มเติม
หมายเหตุ
อ้างอิง
อ่านเพิ่มเติม
ลิงค์ภายนอก
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 1 วันที่แล้วโดยYue
วิกิพีเดีย
มูลนิธิวิกิมีเดีย
ขับเคลื่อนโดย MediaWiki
เนื้อหาจะเผยแพร่ภายใต้CC BY-SA 4.0เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น
นโยบายความเป็นส่วนตัว ติดต่อวิกิพีเดีย จรรยาบรรณในการประพฤติตน นักพัฒนา สถิติ คำชี้แจงเกี่ยวกับคุกกี้ เงื่อนไขการใช้งาน เดสก์ท็อป
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Karen_people
ทั้งนี้เพราะงานศลปะเหล่านั้นเป็นการแสดงออกของตัวศ ิ ลปินเอง ิ เป็นการแสดงออกของมนุษย์
ที่ตอบรับและตอบโต ้กับสภาพแวดล ้อมทั้งทางธรรมชาติและทางสงคม ั
ท่านเห็นว่า ความเป็นมนุษย์คือความดีและความดีนั้น
สามารถแสดงออกได ้ด ้วย " ความงาม " ความดีคือ ความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น งานศลปะที่ท่านทําขึ้นจึงมีแนวโน้มไปในทางที่ดีงาม สงบบริสุทธิ์ และอบอุ่นด ้วยความ ิ
เป็นพี่น้อง รูปแบบ และเรื่องราวของงานอาจเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมและความจําเป็นใน
การแสดงออก
แต่ชวิตภายในซ ี งเป็นเนื้อหาสาระของงานศ ึ่ ลปะโดยตรงนั้นส ิ ํ
าหรับท่านไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ความเชอที่ฝังอยู่ในใจของศ ื่ ลปินเป็นแกนนําในการสร้างสรรค์ ิ ที่จะให ้เกิดการตอบรับ และตอบ
โต ้กับบางแง่มุมของปรากฎการณ์ต่าง ๆ ซงจะเป็นผลให ้เกิดความบันดาลใจที่จะทํางานในแต่ละ ึ่
ชุด ความบันดาลใจนี้จะคลี่คลายต่อไปจนเป็นแนวความคิดหรือจุดหมายของการสร้างสรรค์
ต่อจากนั้น ศลปิ ิ นจะสรรหาเรื่องและรูปทรงที่สอดคล ้องกับแนวความคิดมาเป็นจุดเริ่มต ้น ผลงาน
ศลปะของท่านที่ทําขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ิ 2496 ได ้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาด ้านความคิดและ
รูปแบบ
ผลงานชุดจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็ นผลงานชุดปัจจุบัน ที่ศาสตราจารย์ชลูดสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2553-
2556 เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสัมพันธ์ไปกบั
สภาวะแวดล้อมและสถานการณ์รอบตัว ผ่านรูปทรงหลักคือ ภาพผู้หญิงและเด็ก ซึ่งเป็ นสัญลักษณ์แทน
ความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์ อ่อนโยน ปรากฏอยูร่ ่วมกบรูปทรงซึ่งมีที่มาจากสิ ั ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และ
สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม โดยใช้เทคนิคที่เรียบง่ายอยางการวาดเส้นด้วยหมึก และการระบายสีอะคริลิคล ่
งบนกระดาษสา ซึ่งเป็ นวัสดุที่มีความเป็ นธรรมชาติ ผลงานทั้งหมดถูกจัดวางเรียงรายต่อเนื่องกนจนเต็มฝา ั
ผนัง เพื่อโอบล้อมผู้ชมให้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศของผลงานโดยรวม เป็ นจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยที่มิได้
บอกเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา แต่ทวาก่ าลังบอกเล ํ ่าเรื่องราวทางศิลปะจากประสบการณ์ชีวิตของศิลปิ น
ผลงานชุดแบกะดิน พ.ศ. 2541 เป็ นผลงานประเภทประติมากรรม สื่อผสม ได้รับแรง
บันดาลใจจากสภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในชนบท เริ่มต้นจากการวาดเส้นในท้องทุ่ง ชีวิตของ
ชาวนาในท้องนาและลงทํานาด้วยตนเอง เมื่อกลับมาจากนาสิ่งที่ได้รับคือ ความรู้ สึกที่ยิ่งใหญ่ของ
ผืนนา และการทํานาที่เต็มและอิ่มด้วยชีวิตทั้งทางกายทางใจและทางวัฒนธรรม ทําให้ท่านได้คิดว่า
สิ่งเหล่านี้น่าจะมีคุณค่าไม่น้อยกว่างานศิลปะที่มักจะยกย่องกันจนสูงเกินไปว่าเป็ นทิพย์ประเทือง
ปัญญาอะไรทํานองนั้น งานชุดนี้ท่านอยากให้ข้อคิดว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่สูงส่งกว่ากิจกรรมอื่น ๆ
ของมนุษย์ จึงอยากจะดึงศิลปะให้มาอยู่กับดิน ไม่จําเป็ นต้องอยู่บนแท่น อยู่ในกรอบ อยู่ในสถานที่
ที่โอ่อ่าอีกต่อไป ท่านจึงนําผลงานที่สร้ างมาเกือบทุกยุคมาวางลงกับพื้นดิน ในแนวคิดที่ว่าศิลปะก็
เหมือนกับสินค้าแบกะดินทั่ว ๆ ไปที่ผู้คนจะซื้อหาไปด้วยราคาถูก ๆ ด้วยแนวคิดนี้ท่านได้นําผล
งานที่สร้ างมาแต่ก่อนทั้งหมดมาวางลงกับพื้นดิน และยังมีการจัดสร้ างผลงานเกี่ยวกับครัวชาวนา
ด้วย งานชื่อบันทึกของศิลปิ นชนบทมีลักษณะและแนวคิดคล้ายกับงานบันทึกประจําวัน โดยเฉพาะ
วิธีแขวนห้อยงานต่างๆ ไว้บนราวกลางห้อง และคล้ายกับงานแบกะดินในแง่ของการนํางานยุคต่างๆ
มา แขวนกระจายกันเหมือนสินค้าในร้ านชําชนบท นอกจากนี้ยังมีงานครัวชนบทอีกชิ้นหนึ่งด้วย
ผู้ร่ายคาถา (Sorcerer) คือผู้ที่ เรียนรู้เอาวิชาในด้านมืดเพื่อนํามาใชใน้
เรื่องต่างๆเชน ่
1. ทําให้ผู้อืนโชคร้ายหรือเจ็บป่ วยหรือควบคุมตนเองไม่ได้
2. ใชควบคุมวิญญาณเพื่อใช ้ เป็ นทาส ้
http://th.wikipedia.org/wiki/เชมัน
ผู้เห็นสงต่าง ๆ ิ่ (seer) คือผู้ที่มีความสามารถในการล่วงรู้สงต่างๆ การทํา ิ่
นาย
อนาคต การทํานายภัยพิบัต
#http://tikipedia.org/wiki/เชมัน
ผลงานชุดบทกวี พ.ศ. 2525 เป็ นงานประเภทสื่อผสมประกอบด้วยกระดาษวาดเขียนขนาด 14 x 20 เซนติเมตร จํานวน 50 แผน ่ แต่ละแผนท่ ่านเขียนบทกวีด้วยภาษาทางทัศนศิลป์ เป็ นเส้นเป็ น
สี เป็ นรูปทรงสัญลักษณ์ วางอยูในตําแหน ่ ่งที่มีจังหวะและทิศทางเปลี่ยนแปลกแตกต่างกนเหมือน ั
แบบรูปของฉันทลักษณ์ จัดแขวนเรียงกนบนราวลวดมีลักษณะลอยตัว รูปทรงที่เป็ นสัญลักษณ์ใน ั
ตัวและการประกอบกนของรูปทรงเหล ั ่านี้เข้าด้วยกน ในจังหวะ ลีลา และทิศทางต ั ่าง ๆ ในงานแต่
ละแผน เพื่อต้องการเสนอแนะให้ผู้ชมสร้างสรรค์บทกวีขึ ่ ้นในใจตนเองอยางเป็ นอิสระ ่ ไม่ใช่เป็ น
เพียงผู้รับรู้ด้วยความหมายของภาษาตามที่กวีเป็ นผู้กาหนด
ผลงานวาดเส้นชุดลูกสาว พ.ศ. 2528 ศาสตราจารย์ชลูดถือวาง่ านวาดเส้นเป็ นบันทึกประจํา
วันของชีวิตด้านความคิดและอารมณ์ รวมไปถึงการแกปัญหาและพัฒนารูปทรง การตอบรับและ ้
ตอบโต้กบสิ ั ่งแวดล้อมและสังคม งานวาดเส้นชุดลูกสาวได้นํารูปแบบของผู้หญิงอยางที่เคยใช้ในงาน ่
ระยะแรกมาเป็ นแนวเรื่องอีกครั้ง แต่รูปทรงของผู้หญิงในชุดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกบความเป็ นจริงมากกว ั า่
แต่ก่อน
เทคนิคเปลี่ยนจากสีฝุ่ นปิ ดทองมาเป็ นสีอะครีลิค วรรณะส่วนรวมจากสีที่เข้มจัดมาเป็ นสีเทาอ่อน ความรู้สึก
ของผู้หญิงและรูปทรงส่วนรวมของภาพแสดงถึงความเป็ นผู้ใหญ่ซึ่งผานประสบการณ์ต ่ ่าง ๆ ของชีวิตมา
ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ยังคงแนวคิดเดิม หน้าที่ในการสร้างรูปทรง
ส่วนรวมแตกต่างกบระยะแรกมาก คือ เป็ นรูปทรงหนึ่งที่ปรากฎตัวซํ ั ้
า ๆ ในจังหวะต่าง ๆ ผสมกบั ผลงานชุดธรรมศิลป์ เป็ นผลงานที่ศาสตราจารย์ชลูดสร้างขึ้นในช่วงประมาณปี พ.ศ.2530-2539 โดยมิได้มี
เจตนาสื่อแสดงความหมายธรรมะในพุทธศาสนา แต่ถ่ายทอดออกมาจากสภาวะจิตใจที่มีธรรมะเป็ นเครื่อง
กล่อมเกลา ด้วยรูปแบบผลงานที่เรียบง่าย รูปทรงอันสงบนิ่ง และสีสันที่นุ่มนวลสะอาดตา สะท้อนความ
บริสุทธิ์ของจิตใจที่สงบนิ่งและปล่อยวาง อันเป็ นผลมาจากภาวะของสมาธิ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะทํางาน และ
ผู้เผยพระวจนะ (prophet) คือผู้ที่สามารถติดต่อสอสารกับพระเจ้า ื่
ความสามารถหลักๆคือการทํานายอนาคต
1. การรับความรู้เพื่อใชเป็ นคําสอน ้
2. บ้างครั้งสามารถรับพลังจากพระเจ้าได้
3. การแจ้งเตือนภัย
# http://th.wikipedia.org/wiki/เชมัน
มักกะลีผล โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ก.ค. ๒๖
เ มื่อสมัยเป็นเด็ก อาตมาอยู่กับคุณยาย ตอนนั้นอาตมาไม่ได้สนใจเรื่องบุญกุศล และเรื่อง พระเวสสันดรแต่ประการใด แต่คุณยายสนใจมากในเรื่องเทศน์คาถาพัน และเทศน์มหาชาติ ฟังจบถือว่าได้บุญมาก
คุณยายนิมนต์พระมา ๓ องค์ องค์หนึ่งเดินพระคาถาพันจบหนึ่งพัน อีกสององค์ปุจฉาวิสัชนา แล้วว่าแหล่ว่าทำนองด้วย ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ทุกรายการจบลงในวันนั้น ปีหนึ่งคุณยายจะต้องมีคาถาพัน ๒ ครั้ง
อาตมาเป็นเด็กก็ไม่เข้าใจ ยายให้ฟังก็คอยรีบวิ่งไปเล่น ยายจึงเอาเชือกผูกขาไว้กับเสาให้จบหนี่งพัน เลยฟังแย่เลย ฟังส่งเดชไม่รู้เรื่อง ตอนมาบวชจึงได้ทราบข้อเท็จจริง ได้ฟังเรื่องพระเวสสันดรจอมปราชญ์ มีป่าหิมพานต์
พอดีคุณยายมาซักไซ้อาตมา จึงได้บอกกับคุณยายว่า เรื่องพระเวสสันดรโกหก ไม่จริง ไม่ยอมรับและไม่ยอมเชื่อ คุณยายจึงได้เล่าให้ฟังว่า
หลานเอ๋ย ตอนยายเป็นสาว ๆ เคยทำปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อช้าง หลวงพ่อช้างเคยไปป่าหิมพานต์ ท่านได้สำเร็จฌานสมาบัติ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดตึกราชา อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ยายไปส่งปิ่นโตทุกวัน ท่านฉันข้าวเวลาเดียวอยู่ในป่าช้า
วันหนึ่งไปพบแขกคนหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบ ยายถามหลวงพ่อ ท่านบอกว่า แขกมันเหาะมาจากป่าหิมพานต์มาตกขาแข้งหักไปไม่ได้ ท่านจึงรักษาให้ ยังอยู่ด้วยกันที่นี่ยายก็รับฟัง เพราะยายยังเป็นรุ่น ๆ สาว ไปส่งปิ่นโตแทนยายชวด
ในที่สุดแขกหายแล้วก็เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ตัวเขาเป็นโยคี เหาะมาจากป่าหิมพานต์ เหาะมา ๒ คน คนหนึ่งสำเร็จฌาน แต่แขกคนนี้สำเร็จปรอทจากพระโยคีที่สำเร็จฌาน ทำปรอทให้อม แล้วก็เหาะมาได้ พอดีเกิดมาเถียงกัน เลยปรอทหล่น แขกก็เลยตกขาหัก เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไรนะ
ผลสุดท้ายแขกก็อ้อนวอนหลวงพ่อช้างให้ไปส่งที่ป่าหิมพานต์ และบอกว่าที่ป่าหิมพานต์สนุกสนาน มีผู้หญิง มีทั้งต้นมักกะลีผลอยู่ปากทางที่จะเข้าไปเฝ้าองค์พระเวสสันดรจอมปราชญ์ ผู้มีปัญญา อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน้น เลยเขาหิมาลัย ๑๖ โยชน์ แขกเล่าไว้ชัด
หลวงพ่อช้างก็บอกว่าไม่อยากไปรู้ แต่แขกก็อ้อนวอนมาตามลำดับ ก็เสียอ้อนวอนแขกไม่ได้ แขกบอกว่าถ้าหลวงพ่อไปนะ ไปรับประเคนของใคร อย่าฉัน ถ้าฉันจะกลับไม่ได้แน่นอน ถ้าหลวงพ่อสำเร็จแค่ฌานสมาบัติไม่ให้ฉัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงพ่อช้างบอกไม่ไป แขกบอกมีมักกะลีผล แขกก็คิดถึงบ้านในป่าหิมพานต์ของเขา ก็ให้ตำราปรอท ขอให้หลวงพ่อช้างทำปรอทให้ ใส่ปากอมก็เหินไปได้ หลวงพ่อช้างก็บอกว่ายังงั้นได้ ท่านสำเร็จฌานไปได้องค์เดียว แต่เอาแขกใส่ย่ามไปคงไม่ได้
ในที่สุดก็ให้ยายของอาตมาไปซื้อปรอท ซื้อยาซัด อาตมายังได้ตำราไว้ ณ บัดนี้ ซัดปรอทแล้วก็ไปส่งแขกที่ป่าหิมพานต์ ไปพบมักกะลีผลก็มาเล่าให้ยายฟัง ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก เวลาต่อมายายอายุ ๙๙ ก็ถึงแก่ความตาย อาตมาก็ฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา
เคยเห็นรูปที่ เหม เวชกร เขียนไว้ที่ฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี (อยู่ที่ ต.ม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี) เขียนต้นมักกะลีผลเหมือนของจริงด้วย ใบเหมือนใบมะม่วง มีลูกพวงหนึ่ง ๕ ผล แต่อาตมาก็เชื่อแน่ไม่ได้ว่าต้นไม้ออกลูกเป็นคน เสพสังวาสได้เหมือนคนเรา ก็ไม่ยอมเชื่อด้วยประการใด
ในเวลาต่อมา อาตมามาบวช จิตสำนึกเดิมมันยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ เพราะยายเล่าทุกวัน เล่าละเอียดด้วย เพราะมีคาถาพันปีละ ๒ ครั้ง มีพระเทศน์ปุจฉาวิสัชนา ว่าทำนองด้วย ยายว่าได้ครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตั้งแต่ทศพรถึงนครกัณฑ์ ยายไม่ค่อยรู้หนังสือแต่ว่าได้ เพราะจำพระเทศน์ได้
ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๕ อาตมามาอยู่วัดอัมพวันแล้ว พอดี หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย กับ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในสมัยนั้น มานิมนต์อาตมาไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ประเทศศรีลังกา ไปตรงกับช่วงวันวิสาขบูชาพอดี
อาตมาก็จดบันทึกหลักฐานว่า ข้าพเจ้าจะไปประเทศศรีลังกานั้นจะไปที่ไหนบ้าง
๑. ข้าพเจ้าฝังใจนัก อยากจะขึ้นไปดูเขาสีคิริยา ที่พวกทมิฬหินชาติจับองค์พระมหากษัตริย์ขังไว้ แล้วฆ่าพระเณรตายหมดทั้งศรีลังกา นอกเหนือจากวงศ์ลังกาที่หนีเข้าป่าไปเท่านั้น พระมหากษัตริย์ก็กลับกู้พระนครมาได้ จึงมีศุภราชสารตราส่งมายังกรุงสยามแห่งพระนครศรีอโยธยา ได้ขอพระอุบาลีวงศ์ ไปดำรงตำแหน่งสังฆนายก และเป็นสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา ต่อจากสยามวงศ์ศรีอยุธยา มีพระสังฆราชถึง ๑๕ พระองค์ เรียกว่าสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้
๒. ต้องการไปบูชาและนมัสการเวียนเทียนศรีมหาโพธิ์ที่นางศรีอมิตตาลูกสาวของพระเจ้าอโศกมหาราชเอาไปจากอินเดียต้นเดิม เอามาปลูกไว้ที่ประเทศศรีลังกา
๓. ต้องการไปทัศนศึกษาเกี่ยวกับวัดกรณีให้จงได้ทราบข่าวมาว่า สมภารวัดกรณีได้ฆ่านายกรัฐมนตรีตาย นางศิริมาโวจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนสามี
๔. ต้องการจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วในวันวิสาขปุณมีดิถีเพ็ญกลางเดือน ๖ และได้เข้าไปโดยอัศจรรย์ดลบันดาลหลายประการ แต่จะไม่ขอเล่าเรื่องนั้น
๕. ต้องการจะพิสูจน์ภาษาไทยจากไทยอาหม เป็นต้น ว่าเขาพูดอย่างไร ใช้หนังสือหลักฐานอย่างไร
ต้องการจะไปพิสูจน์ ๕ รายการก็ได้ครบจบทั้ง ๕ รายการที่ตั้งใจอธิษฐานไปทุกประการ
การเดินทางไปขึ้นเขาสีคิริยา ไปพร้อมกันทั้งรถบัสประมาณ ๓๐ กว่าคน พอถึงตีนเขาสีคิริยา หาคนขึ้นเขาไม่มี อาตมากับแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ อดีตเลขาของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นอายุ ๗๐ เศษแล้ว ก็พยายามขึ้นเขาไปกับอาตมา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ในเวลาไม่ช้าก็ถึงยอดเขา แต่คนที่อยู่ในรถไม่มีใครขึ้นไปถึงยอดเขา
มองตั้งแต่ยอดเขาสีคิริยาลงไปสู่ตีนเขา เห็นรถบัสเท่ากล่องไม้ขีดเท่านั้น พอไปถึงยอดแล้ว อาตมาก็ไปพิสูจน์หลักฐานที่องค์พระมหากษัตริย์อยู่ตรงนี้ ที่ทมิฬหินชาติฆ่าพระเณรตาย เมื่อสมัยกาลครั้งหนึ่ง คือสมัยกรุงศรีอยุธยา
ก็ได้กฎแห่งกรรมข้อหนึ่งที่พิจารณาได้ว่า ตอนนั้นศรีลังกานำพระพุทธศาสนามาสู่สุโขทัยราชธานี เอามาเผยแผ่ในประเทศไทยเป็นกฎแห่งกรรม หลังจากที่เขาหมดศาสนาพระเณรไม่มีแล้ว เขาต้องขอ ต้นทุนเดิมเอาไปต่อ คือพระอุบาลีวงศ์ เป็นสยามวงศ์มาจนบัดนี้ อันนี้เป็นกฎแห่งกรรมที่ติดตามมา
อาตมากับแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ ก็นั่งภาวนากัน อาตมาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ปวดปัสสาวะเป็นกำลัง จะทำอย่างไร ส้วมก็ไม่มี แม่เนื่องชี้ทางบอกว่าลงไปทางนี้เป็นป่า อาตมาก็ลงเรื่อยไป
เผลอไปเผลอมาเข้าไปในถ้ำ ไปเจอพระสิงหลหนวดเครารุงรัง ห่มผ้าสีดำ นั่งเจริญกรรมฐาน ภาวนาอยู่ในถ้ำ เป็นเรื่องที่จะต้องพบมักกะลีผล ต่อไป ฉากมักกะลีผลก็เปิดออกมา
อาตมายกมือไหว้ ท่านก็ส่งภาษาสิงหลต่ออาตมา อาตมาก็เรียนเก่ง เพราะเก่งไปในทางภาษาเดา เดาถูกทั้งนั้น ท่านก็ชี้ไปที่ฝาผนังถ้ำเราก็เหลียวไปดู พบสีกา สวย โสภาน่าทัศนาชม พอเห็นเข้าแล้ว หอมกรุ่นรุมจมูก เหมือนน้ำอบฝรั่งขวดละ ๓ พันบาท แต่มันหอมมากทีเดียว
อาตมาก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า พระองค์นี้แย่มาก ไม่น่าจะเอาสีกามาไว้ในถ้ำในชุดวันเกิด ไม่มีผ้านุ่งแต่ประการใดมองแล้วเหลียวซ้ายแลขวาไม่ได้พูดจาประการใด
ท่านก็เอ่ยเผยวาจาออกมาครั้งหนึ่งเป็นภาษาสิงหลบอกว่า พระคุณเจ้าพิจารณาดูด้วยวรญาณ เราก็ได้ตำราของเรา ตาดู หูฟัง ปากนิ่ง แหมจวนจะเอาปากออกมาแล้วว่าจะตำหนิพระองค์นี้
ลักษณะของมักกะลีผล ผลโตเท่าหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี อาตมาก็พิจารณาดูด้วยวรญาณ คลานเข้าไปใกล้ ๆ ดูแล้วสวยมาก คิ้วต่อ คอปล้อง ลักษณาการทำให้เราคิดพิจารณาต่อไปว่า นิ้วทำไมเสมอกัน แต่เรียวไม่เท่ากันเหมือนนิ้วของเรา นิ้วโป้งเห็นชัด ยาวเท่าหัวข้อ และเล็บยาว และคอเป็นปล้อง ๓ ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า อวบเต็มหมด ลักษณะอาการทั้งหมดสวยมาก ไม่ได้นุ่งผ้า ตาใหญ่ สีดำกระเป็นสีทอง สีขาวเป็นสีฟ้า เนื้อหนังเหมือนผลมะปราง ผมเป็นสีทองเหมือนฝรั่ง ดูไปดูมาก็เห็นหัวขั้วเหมือนลูกมังคุด ผมยาว
อาตมาก็ได้ความเลย เราเคยทราบเรื่องมักกะลีผลมา แต่เดิมที มันฝังอยู่ในจิตใจ แต่ก็ไม่รับรองแห่งการเชื่อถือแต่ประการใด จะจับดูก็เกรงใจพระ ถ้าไม่มีพระต้องบีบดูว่ามันมีกระดูกหรือเปล่า ไม่มีกระดูกเหมือนลูกโป่ง แต่ไม่ได้บีบดูนะ วันหลังได้บีบดูเพราะมาอยู่ที่วัดนี้ แต่ไม่ใช่ตัวนั้น
มือเท้าสวยมากไม่มีเส้นเลย มันจะเต่งตึงหมดเสมอกัน ข้อจะเรียวเท่ากัน ดูลักษณาการสวยงามมาก เป็นดอกไม้ แต่จะหนักเบาแค่ไหน ตอนตัวโต ๆ ไม่ได้ยกดู และอาการ ๓๒ ปกติ เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ถันผิดมนุษย์ธรรมดานิดหน่อย ลักษณาการเท่ากับเด็กหญิงอายุ ๑๖ สูงต่ำประมาณนั้น
อาตมาก็มากราบไหว้พระ ดูท่าทางท่านอาวุโสคงจะแก่กว่าเราแน่ ท่านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ท่านได้มาจากป่าหิมพานต์ (ป่าที่อยู่รอบภูเขาหิมาลัย อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย (จากพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์โดยพระเทพเวที พ.ศ. ๒๕๓๖)) อาตมาก็เดาว่าองค์นี้ต้องสำเร็จฌานสมาบัติ
ท่านก็เริ่มเล่าประวัติตรงกับที่หลวงพ่อช้างได้เล่าให้ยายฟังทุกประการว่า
สมัยก่อนผุสดีถวายจุลแก่นจันทน์แก่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธะ อธิษฐานว่า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต ท่านได้ให้พรว่าดูกรน้องหญิง เธอต้องการทุกสิ่งอันใด ขอให้สำเร็จในสิ่งนั้นให้พรสั้น ๆ ว่า “ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ ”
จุลแก่นจันทน์ เป็นของหอมในสมัยนั้น ราคาไม่แพง แต่คุณภาพสูง ใช้สำหรับองค์พระมหากษัตริย์
ท่านเล่าให้ฟัง มันก็ใกล้ความจริงที่เราได้ฟังมา เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว เฉพาะเรื่องพระเวสสันดรนี้ ไม่ใช่สองพันปีนะ
ผุสดีได้รับพรจึงตรงไปเป็นเอกอัครมเหสีศักรินทร์เทวราชหมดพรพระวิปัสสีแค่นั้น พระอินทร์ได้ทราบว่า เอกอัครมเหสีผุสดี ต้องการเป็นพุทธมารดา ใกล้เวลาจะจุติ จึงได้ให้โอกาสเอกอัครมเหสีรีบขอพรมา ณ บัดนี้ ต่อพรไป ผุสดีก็ขอพร ๑๐ ประการ ที่จะเล่ามีข้อเดียวคือ ต้องการมีบุตรชายโสภาเต็มไปด้วยบุญวาสนา อันนี้ต่อพรของแม่ให้เป็นพุทธมารดาแน่ ก็จุติลงไปชื่อนี้ตามเดิม เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยตามลำดับ
ร้อนถึงศักรินทร์เทวราช ส่งทิพยเนตรทิพยกรรณทราบความว่าผุสดีที่จุติไปนั้นยังไม่มีพระราชโอรส จึงได้ขออัญเชิญพระโพธิสัตว์เข้าสู่ครรภ์ของผุสดีต่อไป พอสู่ครรภ์เสร็จแล้ว พระอินทร์ก็เตรียมการเนรมิตพระบรรณศาลาที่ ๔ กษัตราจะไปบำเพ็ญพรตเป็นดาบสในป่าหิมพานต์
และต้องการเนรมิตต้นมักกะลีผล ๑๖ ต้นต่อไปพร้อมกับบรรณศาลา ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมชาติ ด้วยเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. พวกโยคีลามกสกปรก คนธรรพ์ วิทยาธร ที่วุ่นวายกันในป่าหิมพานต์มาหลายหมื่นปีแล้วนั้น ได้เสพสังวาสชมมักกะลีผลแล้ว จะสลบไสล ๔ เดือน จะไปนิพพานไม่ได้ เป็นช่องทางปริศนาธรรมของกามคุณทั้งห้า
๒. ต้องการให้พระนางมัทรีออกป่าไปเก็บผลไม้ได้อย่างดีไม่มีใครรบกวนแต่ประการใด พวกลามกสกปรกก็หลงใหลไชชอน ที่มักกะลีผล ๑๖ ต้น มีใจความว่าอย่างนั้นเป็นหลักสำคัญ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มักกะลีผลจะออกดอกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล ถึงเวลาพระนางมัทรีจะออกป่า ก็ออกดอกกันมาพวงหนึ่งมี ๕ คน มันจะมีบาน หุบ ออกมาแล้ว ๓ วันมีประจำเดือน เกสรบานเต็มต้น แปลว่าเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
และมักกะลีผลนี้จะร้องรำทำเพลง ตอนเช้าถึงเย็น คนธรรพ์ วิทยาธรก็มาเสพสังวาส โยคีสำเร็จฌานก็มาเสพสังวาส แล้วสลบไสล ฌานก็เสื่อม พวกที่ยังไม่ได้ฌานก็มาคอยโคนต้น เก็บเอามักกะลีผลตอนหล่นหมดอายุภายใน ๗ วัน
พอ ๗ วันแล้ว มักกะลีผลจะหมดอายุหล่นพร้อมกันทั้งหมด พวงหนึ่งมี ๕ คน ผู้หญิงทั้งนั้น ท่านเล่าอย่างนี้ ก็ตรงตามที่หลวงพ่อช้างเล่าให้ยายฟังพอดี ทำให้สำนึกเดิมมาเปิดรับพอดีตรงกัน อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาก็รับฟังต่อไปว่า มักกะลีผลออกดอกมาแล้ว ๗ ราตรี หมดสภาพ หล่นจากต้นไปแล้ว มันก็ตาย ลืมตาตาโตเหมือนลูกไข่ คิ้วโก่งอย่างเขียนได้ ๔๕ องศาจริง ๆ จมูกโด่ง พอโค้งจากจมูกเป็นวงพระจันทร์ไป เหมือนพระพุทธรูปปางสุโขทัยฉะนั้น ไม่ใช่ชนกันแน่
ท่านเล่าต่อไปว่า ท่านสำเร็จฌานสมาบัติ ไปป่าหิมพานต์ ก็ไปเก็บมาด้วยฌาน แล้วท่านก็เอามาดูพิจารณา พอดีเรามีบุญวาสนาไปพบเข้าพอดีด้วยปวดปัสสาวะ อาตมาก็บอกแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ เป็นพยานหลักฐานด้วยกัน บัดนี้ถึงแก่ชีวาวายไปแล้ว
อาตมาได้เคล็ดลับจากพระสิงหลหลายประการ ก็ขออธิษฐานต่อหน้าพระสิงหลว่า ข้าพเจ้ามีบุญวาสนาประการใด ขอให้ข้าพเจ้าไปพบในประเทศไทยให้จงได้ แล้วท่านก็บอกเคล็ดลับในเรื่องปฏิบัติธรรมกรรมฐานไว้อีกหลายประการ ต้องการพบใคร ต้องการโทรจิตอย่างไร แต่จะไม่พูดในที่ประชุมนี้ เพราะไม่มีใครถาม
พอกลับมาประเทศไทย อยู่มาหลายปีก็ได้พบมักกะลีผล
วัดหนึ่งอยู่กลางทุ่งในเขตจังหวัดลพบุรี มีชายนายหนึ่งเหม็นสาบเหม็นสาง หิ้วย่ามละว้ามาถึงวัดนั้น มากราบไหว้สมภาร และเจรจาถวายสมภารว่า
ข้าพเจ้าเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ไกล ขอพักผ่อนที่วัดนี้สัก ๗ ราตรี ท่านสมภารเห็นว่าตาเฒ่าคนนี้เหม็นสาบเหม็นสางก็จริง แต่พูดจาคมคายดี ก็อนุญาตให้พักได้ ๗ วัน ไม่เป็นไร
แต่ทายกค้านว่า คนนี้อย่าให้พัก คงเป็นขี้ยาติดเหล้าเมากัญชา กลัวจะลักของที่วัด สมภารก็ให้พัก
วันนั้นเขาทำบุญกัน สมภารก็บอกให้โยมหาข้าวปลาอาหารมาให้คนที่มาขอพัก ญาติโยมไม่เห็นด้วย สมภารก็เอาสำรับไปให้ทานทุกวัน
เวลาครบ ๗ วัน ก็ขอลาสมภารเดินทางกลับ สมภารก็ไปส่งหลังวัด เพราะวัดนี้มีทุ่งนากว้างใหญ่ ตาเฒ่าก็กล่าวว่า ท่านสมภารมีอัธยาศัยดีมาก ผมเดินทางมาก็ไม่มีอะไรขอฝากของขวัญไว้
ขอกราบเรียนว่า ถ้าจะทำอะไรก็ทำภายใน ๔ ปี ทำให้เรียบร้อย ท่านจะต้องจากวัดนี้อย่างแน่นอน บอกแล้วก็มอบย่ามละว้าให้แก่สมภาร สมภารก็ไม่ทราบว่าอะไร ตาเฒ่าก็ขอลาเดินทางต่อไป
สมภารคลี่ย่ามออกมา ก็มีหนังสือตัวขอมบอกเหตุการณ์ว่า มักกะลีผลทั้ง ๒ ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์เป็นของฝากของขวัญให้สมภารไว้ที่นี่ และบอกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือนั่นอีก ๒ – ๓ บรรทัด
สมภารเห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ ก็เรียกโยมในวัดออกมา ให้รีบตามตาเฒ่าไป พอตามออกมาตาเฒ่าก็หายไป ที่นอนที่เหม็นนั้นกลายเป็นควันธูป ควันเทียน น้ำมันจันทน์หอมอบวัด
ต่อมาสมภารก็สร้างกุฏิกรรมฐาน ๔ ปี ก็ถึงแก่มรณภาพตามที่ตาเฒ่าบอก สมภารนี้ท่านบวช ๒ หน หนที่ ๑ บวชแล้วสึกไป มีลูกแล้วบวชใหม่ อาตมาก็เลี้ยงลูกท่านไว้ตอนที่อยู่วัดให้เรียนหนังสือ และให้บวชเรียน แต่งครอบครัวให้เสร็จ
ลูกก็ไปทำศพหลวงพ่อเขา ทำศพเสร็จแล้วลูกชายก็มอบของนี้ให้แก่ลูกชายเขามา ลูกชายก็นำมาฝากอาตมาไว้รวมทั้งหมด ๘ ปี ยังใหญ่อยู่ อาตมาก็ไม่เคยบอกใคร เพราะเรารู้เหตุการณ์จากที่ศรีลังกาแล้ว ตามที่พระสิงหลได้บอกเล่า อาตมาก็เก็บไว้ พอดีไปบรรยายธรรมะที่ตึก สว. ชั้นสองที่วัดบวรฯ ในรายการของคนพ้นโลก นักศึกษากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ปลดเกษียณก็ลุกถามปัญหากัน นักศึกษาก็ถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม อาตมาก็ตอบด้วยเหตุผล ถามว่าป่าหิมพานต์มีจริงไหม อาตมาก็ตอบด้วยเหตุผล ซักเรื่อยไปถึงป่าหิมพานต์เข้าในต้นมักกะลีผล ก็ลืมตา บอกมักกะลีผลเป็นอย่างนั้น ๆ นักศึกษาถามว่าท่านมีหรือจึงพูดถูก บอกมีซิ เลยเขาตามมาดูกัน จึงได้เกิดดังขึ้น มักกะลีผลลูกใหญ่ ๆ ก็ย่อส่วนลงไปไม่เหมือนคน มันเป็นดอกไม้มันก็เหี่ยวลงไปย่อส่วนลงไปตามลำดับ
อภินิหารมักกะลีผล สำหรับมักกะลีผลมีอภินิหาร ๒ ประการ อาตมาเก็บไว้ก็ร่ำลือกันมากมาย คุณนายโสภา เป็นภรรยาของท่านนายอำเภอ จังหวัดจันทบุรี เป็นลูกศิษย์กัมมัฏฐานที่วัดนี้ เขารู้เรื่องนี้ดีพร้อมกับนายแพทย์หลายนาย บ้านคุณนายโสภาต้องการทำบุญบ้านที่เขตจังหวัดจันทบุรีกับระยองต่อกัน นิมนต์อาตมาไปฉันเพล นายแพทย์บอกว่ากรุณาเอามักกะลีผลไปด้วย ผมจะวิจัย เพราะมาวัดไม่เคยพบท่าน ก็ตกลง อาตมาก็คิดว่าจะไปดีหรือไม่ดี ก็ตกลงว่าไป เอามักกะลีผลใส่พานเอาผ้าขาวห่อใส่รถก็ออกจากวัดอัมพวัน ๑ โมงเช้า พอนั่งรถแล้วหลับไปเลย ถึงจังหวัดระยอง ๒ โมงเช้า ๑ ชั่วโมงถึงบ้านเจ้าภาพ รออีกตั้งหลายชั่วโมงสวดมนต์ฉันเพล นี่มันเรื่องอัศจรรย์
เรื่องที่ ๒ โยมชาญ กรศรีทิพา พบเรื่องนี้แล้วก็บอกว่าผมทำบุญวันเกิดที่วัดศรีบุญเรือง กรุงเทพฯ ถ้ากระไรเอามักกะลีผลไปด้วย ลูกผมกลับจากอเมริกาขอดูหน่อย ตกลงอาตมาก็ใส่ย่ามเดินทางไป ไปถึงวัดศรีบุญเรือง ก็มีท่านเจ้าคุณหลายท่านที่มานั่งอยู่กุฏิสมภาร แต่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่โยมชาญ กรศรีทิพาคนเดียว ไปนั่งสักพักหนึ่งมีเสียงประหลาดดังออกจากย่ามอาตมาเป็นเพลง ร้องเพราะ สมภารวัดนั้นได้ยินคนเดียวคือ พระครูศรีปริยัติติคุณ ถามว่าหลวงพ่อเอาเทปมาด้วยเรอะ แหม ร้องเพราะจัง อยากดูหน่อย อาตมาบอกเทปที่ไหนเล่า ผมไม่ใช่พระมีเทป ไม่ยอมเชื่อ อาตมาก็ว่านี่ยังไงกัน ก็พยายามเก็บ สมภารก็จะมาขอดูย่าม พอดีเกิดอัศจรรย์อาตมาปวดท้องจะต้องไปถ่าย อาตมาก็เอาย่ามไปด้วย สมภารบอกว่าอย่าเอาย่ามไป ส้วมอยู่ไกล เอาไว้นี่แหละ อาตมาก็ลืมไปเอาย่ามไว้ ก็เดินไปถ่าย สมภารก็เกิดไปงัดย่ามมา เพราะเพลงมันร้องเพราะ เลยเปิดมา ผลสุดท้ายก็นั่งเป็นกลุ่มเลย ก็โทรศัพท์ไปทางบ้านให้มากันใหญ่เลย วันนั้นไม่ได้สวดมนต์ทำบุญวันเกิด เจ้าคุณวัดโพธิ์ วัดป่าโมกข์ เจ้าคุณหลายเจ้าคุณท่านก็ไม่เคยเห็น วันนั้นดูกันจนค่ำ มีอัศจรรย์อย่างนั้น
ขอสรุปไว้ เวลาต่อมาก็หมดละลายไปในที่สุด อธิษฐานจากประเทศศรีลังกามาสู่ประเทศไทย มาได้นะดังที่กล่าวแล้วโดยวิธีนี้ จบเรื่องมักกะลีผลไว้เท่านี้ หมดอายุพระพุทธศาสนา ๑. ต้นมักกะลีผลโดยเนรมิต กับบรรณศาลาจะหายวับไปกับตา ๒. พระบรมธาตุจะมีถ่านบอกไว้ชัด คนที่ไม่มีประสบการณ์เขาจะไม่เชื่อ คนที่เห็นมากับตา รู้มาอย่างนี้ก็ต้องยอมรับเชื่อ ๑๐๐% คนอื่นคงจะไม่เชื่อแน่ เพราะไม่เคยเห็น อาตมาถ้าไม่เห็นก็ยังไม่เชื่อ แล้วก็เอาดินมา ๓ ห่อ ที่ประเทศศรีลังกา กลับมาก็กลายเป็นพระธาตุ นายแพทย์ศิริราชขอผ่าดู ก็เป็นไส้คนทั้งหมด ผ่าแล้วเอากล้องใหญ่ถ่าย มีหัวใจ มีไส้ ปอด พุง เป็นคนเสียหมด เวลา ๖ โมงเช้า มันจะเริ่มบาน พอ ๖ โมงเย็นจะหุบ มีกลีบเหมือนกลีบบัว ก็จะหุบเอา ๕ คนเข้าไว้ และเช้าบานขึ้น ๗ วันหล่นหมด หล่นไม่หลับตา ลืมตาแจ๋วเลย
มักกะลีผล ปัจจุบันประจำอยู่ที่วัดพระปรางค์มุณี จังหวัดสิงห์บุรี
ที่อยู่ วัดอัมพวัน ๕๓ หมู่ ๔ ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ๑๖๑๖๐
ติดต่อ โทรศัพท์ : > ๐๙๘-๔๖๙-๐๕๙๗ > ๐๘๐-๔๕๔-๖๒๗๗
Copyright © 2017-Present www.amphawan.net | All Rights Reserved
http://www.watcharathath.com/content.php?id=200
#ถึงแม้จะมีความสามารถคล้าย prophet แต่ลักษณะการรับรู้จะต่างกัน
มากโดย seer จะรับรู้ได้โดยสมผัสของตน ั
http://th.wikipedia.org/wiki/เชมัน
ผลงานชุดปลูกป่ าชุดที่2 ช่วงปัจจุบัน เป็ นผลงานประเภทจิตรกรรมสีฝุ่ น สีอะครีลิคปิ ด
ทอง เป็ นแรงบันดาลใจต่อเนื่องจากการทําผลงานชุดปลูกป่ าชุดที่ 1 ในพ.ศ. 2535 ซึ่งหลังจากนั้น
ประมาณ 10 ปี ป่ าที่ท่านได้ลงแรงลงใจปลูกไว้ด้วยจินตนาการในงานจิตรกรรมปลูกป่ าชุดแรกและ
ที่ปลูกไว้จริงบริเวณหลังบ้านก็เจริญเติบโต มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น ผลงานศิลปะชุดหลัง ๆ นี้นับ
ว่าเกี่ยวเนื่องกับตัวเองและมักเป็ นสิ่งที่ห้อมล้อมตัวอยู่ ทําให้มีความรู้ สึกคล้ายกับว่าตัวท่านเข้าไป
ในศิลปะ ศิลปะได้กลายเป็ นสิ่งแวดล้อมของท่าน ส่วนเนื้อหาของงานยังเกี่ยวกับความผูกพันของ
ครอบครัว ของแม่ ของลูก ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาต
“มัน ก็เป็นของที่ทิ ้งขว้างอยู่ในชนบทน่ะครับ วัตถุมันก็เป็นสิ่งเหล่านั ้น แต่พอทําออกมาแล้ว มันก็สะท้อนไปถึงชีวิตใน
ชนบท ที่ภาระมันมากมายแต่มันไม่ได้ผลอะไรเลย เหมือนชาวนาที่ลงทุนแทบตาย แต่ผลผลิตไม่ได้ผล”
3ถ้าทํางานจริง มันต้องทําออกมาจากข้างใน แล้วรูปทรงมันจะก่อตัวขึ ้นมาเอง
ผลงานชุดประติมากรรมชนบท พ.ศ. 2525-2527 เป็ นงานประเภทประติมากรรมตั้
งอยูก่ บั
ที่และประติมากรรมสื่อผสม ประสบการณ์ที่ได้จากการทํางานและการสอนศิลปะในช่วงเวลาหนึ่ง
ทําให้ท่านขยายขอบเขตความคิดด้านศิลปะจากการค้นหาความจริงภายในไปสู่การผสมผสานกบั
ความจริงภายนอก จากการแสดงอารมณ์ความรู้สึกด้วยรูปทรงไปสู่การแสดงออกทางความคิดมาก
ขึ้น จากรูปทรงที่สําเร็จสมบูรณ์ในตัวไปสู่รูปทรงส่วนรวมในสิ่งแวดล้อม และจากการแสดง
ลักษณะส่วนตนเพียงอยางเดียว ขยายวงออกไปถึงความจําเป็ นที่จะแสดงเอกลักษณ์บางด้านของ ่
ท้องถิ่
นและของชาติ การได้พบเห็นวัตถุสิ่งของ เครื่องมือประกอบอาชีพ เครื่องใช้ประจําวัน รวม
ทั้
งวัตถุใช้แล้วที่ถูกทิ้
งขว้างอยูทั ่ วไปตามบริเวณที่อยู ่ อาศัย ซึ่งท ่ ่านคิดวาเป็ นสิ ่ ่งแวดล้อมทาง
1. ผู้เข้าทรง (medium) มีลักษณะคือ ผู้ที่ใชร่างเป็ นตัวกลางส ้ อระห ื
ว่างภพอื่น มีความสามารถโดยกําเนิด ซงจะแบ่งเป็ น ึ่
1. คนทรงวิรญาณ เชน วิณญาณต่างๆ ่
2. คนทรงเจ้า เชน ภูตต่างๆที่มีลักษณะกึ่งเทพ ่
3. ร่างทรงเทพเจ้า เชน เทพบางองค์ ่่
# http://th.wikipedia.org/wiki/เชมัน
ผลงานชุดบันทึกประจําวัน พ.ศ. 2522-2527 เป็นงานประเภทประติมากรรมสอผสมที่ ื่
สร้างขึ้นด ้วยการนําวัตถุสํ
าเร็จรูปต่าง ๆ มาติด มาแขวนหรือกองรวมกันให ้เกิดรูปทรงและความ
หมายตามต ้องการ สวนมากเป็นกระดาษที่พิมพ์หรือเขียนข ้อความต่าง ๆ จดหมายที่มีมาถึง ่
สํ
าเนา
หนังสอของทา ื งราชการและเอกชน ภาพถ่ายที่มีความสํ
าคัญเตือนให ้ระลึกถึง ภาพร่างวาดเสน้
จิตรกรรมเล็ก ฯลฯ มาแขวนด ้วยเชอกไนล่อนส ื สดหลายส ี ห ้อยเกี่ยวกับแผ่นทองเหลืองรูปกลม ี
ที่เป็นงานประติมากรรมโลหะเชอม มีรูพรุนมากมาย เป็นการเก็บบันทึกเหตุการณ์ที่น่าสนใจใน ื่
แต่ละวัน
เริ่มตั้งแต่ระยะแรกที่มีของแขวนอยู่ไม่กี่ชน จนเมื่อเวลาผ่านมานานหลายปี ิ้
สงของหรือเรื่องที่ ิ่
บันทึกก็เพิ่มมากขึ้นบางชนก็ถูกปลดลงเมื่อหมดความส ิ้ ํ
าคัญ จึงเป็นรูปทรงที่มีการเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลา
เนื้อหาของงานสวนใหญ่เป็นเนื้อหาทางความคิดที่อาศ ่ ยเรื่องราวของวัตถุ ั สงของที่มีความหมาย ิ่
ในตัวเองแต่ละชน ให ้ความคิดในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทั้งเนื้อหาและรูปทรงที่ค่อยเป็นค่อยไป ิ้
ตามเวลาและเหตุการณ์
วัฒนธรรมสวนหนึ่งที่ทําให ้รู้ส ่ กถึงสภาพช ึ วิตของประชาชนในท ้องถิ่นนั้น ๆ ได ้เป็นอย่างดี ี จึงนํา
วัสดุที่เป็นบันทึกของประสบการณ์ชวิตเหล่านี้มาสร้างเป็นรูปทรงขึ้นใหม่ ด ้วยท่วงทํานองที่ ี
สอดคล ้องกับลีลาการดําเนินชวิตของชาวชนบทเพื่อเป็นการส ี อความรู้ส ื่ กให ้เข ้าถึงช ึ วิตและ ี
วิญญาณของชนบทไทยโดยทั่วไปให ้ลึกซงยิ่งขึ้น
เชมัน
แชมัน หรือ เชมัน (อังกฤษ: Shaman /ˈʃæmən/; /ˈʃeɪmən/)
[1] เป็นชอเรียก ื่
ของกลุ่มบุคคลที่เชอว่ามีความสามารถในทางวิญญาณ มีความสามารถในการ ื่
รักษาโรคด ้วยวิญญาณ
ในบางว ัฒนธรรมจะเชอว่าสามารถควบคุมสภาพอากาศ สามารถเดินทา ื่
ง
ได้ในโลกมนุษย ์และโลกวิญญาณ นรก และสวรรค์ จะสามารถพบได้มาก
ในทางเหนือของทวีปเอเชยและตอนกลางของทวีปเอเช ี ย
ี
เชมัน แบ่งได ้ออกหลายอย่างแต่ว่าหลัก ๆ ก็คือ ร่างทรง (medium) ผู้เผยพระ
วจนะ (prophet) ผู้เห็นสงต่าง ๆ ( ิ่ seer) ผู้ร่ายคาถา (socceller)
เชมันมีชอเรียกหลายอย่างตามลักษณะของความสามารถ และประเทศ เช ื่
น ่ คน
ทรง มิโกะ องเมียว บางครั้งจะเรียก พ่อมด แม่มด ในประเทศญี่ปุ่ น ก็มีผู้ใชคาถา ้
สาปแชงคือ พระนางฮ ่ มิิ โกะ ก็เป็นสวนหนึ่งของเชมันเหมือนกัน ่
@# http://th.wikipedia.org/wiki/เชมัน
3ผม ไปเที่ยว เขียนในโรมก็เขียน เห็นอะไรมันน่าเขียนไปหมด ต้นไม้มันขึน้
มันไม่มีใบ ปากกานี่นะ ผมใชปากกาไม้อ้อ เป็ นไม้อ้อที่ยุโรปนะ ้ ไม่ใชไม้อ้อ ่
บ้านเรา ไม้อ้อบ้านเรามันอ่อน3
ผลงานวาดเส้นจากโรมและภาพพิมพ์นามธรรม ในช่วงเวลาที่เดินทางไปศึกษาเทคนิคภาพพิมพ์กลวิธีร่อง
ลึก (intaglio) ที่ประเทศอิตาลี ประมาณปี พ.ศ.2499-2501และศึกษาเทคนิคภาพพิมพ์หิน (lithograph) ที่
ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2507 นั้น ศาสตราจารย์ชลูดได้เดินทางไปวาดภาพทิวทัศน์ตามสถานที่
ต่างๆ ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี และกรุงปารีส ประเทศฝรั่
งเศส ซึ่งเป็ นผลงานที่ยังไม่เคยจัดแสดงที่ใดมา
ก่อน นอกจากนี้ยังมีผลงานภาพพิมพ์นามธรรม ซึ่งมีเทคนิคที่น่าสนใจอีกจํานวนหนึ่งด้วย
ผลงานรูปธรรมที่เรียบง่าย พ.ศ. 2496-2505 เป็ นงานประเภทจิตรกรรมสีนํ้
จิตรกรรมสีฝุ่ นปิ ดทอง ภาพพิมพ์และประติมากรรม ผลงานในยุคแรกเป็ นแบบเหมือนธรรมชาติ
(Realistic)ซึ่งพยายามแฝงลักษณะของความเป็ นไทยเอาไว้ในงานด้วยเรื่องราว รูปทรงที่เรียบง่าย
และในเทคนิค ระยะแรกเป็ นงานจิตรกรรมโดยใช้เรื่องราวเก
ี่
ยวกบประเพณีและการดําเนินชีวิต ั
ของคนไทยในชนบท ใช้วิธีการเขียนระบายสี การให้มิติของภาพและเทคนิคการใช้สีแบบ
จิตรกรรมไทย แต่ใช้รูปทรงที่เรียบง่ายและหนักแน่นตามลักษณะของตนเอง ได้แก่ รูปทรงผู้หญิง
ในอิริยาบถ สภาพแวดล้อม และกิจกรรมต่าง ๆ มาตัดทอนออกให้เหลือเพียงรูปทรงง่าย
ผลงานรูปทรงนามธรรมกบเนื ั ้อหาภายใน พ.ศ. 2507-2515 ระยะนี้อิทธิพลของศิลปะ
ร่วมสมัยโดยทัวไปและประสบการณ์บางอย ่ างของชีวิตทําให้ท ่ ่านต้องการทดลองค้นคว้าศิลปะแบบ
นามธรรม เนื่องจากท่านทํางานศิลปะหลายสาขา ทั้
งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์และ
เทคนิคผสม รูปทรงจึงเปลี่ยนแปลกออกไปตามวัสดุและวิธีการของแต่ละสาขา แต่เนื้อหายังเป็ น
เรื่องเกี่
ยวกบคน ผู้หญิง และประสบการณ์ต ั ่าง ๆ ในธรรมชาติ โดยการประสานกนของเส้น ั สี นํ้
า
หนัก ปริมาตร ลักษณะผิวและวัสดุ แต่รูปทรงของคนและของธรรมชาติไม่มีปรากฏให้เห็นเด่นชัด
ในงาน จากที่เคยเป็ นแนวทางของอารมณ์ความรู้สึกในเนื้อหาภายนอกเปลี่ยนมาเป็ นแนวความคิด
ในการกาหนดรูปทรง
ศิลปะบําบัดในมุมมองของศาสตราจารย์ คือ อะไร
”ชีวิตคือศิลปะเป็ นยิ่งกว่าชีวิตเป็ นการมีลมหายใจ การใช้ชีวิตแสดงทุกอย่างของศิลปิ นที่ผลงาน ที่
ตัวตนของศิลปิ นเองอาจไม่ทราบ”.
..”อย่าเอางานไปเผา ทํางานด้วยความสุขอย่าไปหวังผลสําเร็จให้มาก ตั้งเหตุให้ดี อย่าหวัง
ผลสําเร็จ เหมือนชาวนาถ้าไปคิดหวังผลจะไม่ถกต่อหลักการ ค่อยๆคลี่คลายผลสําเร็จจะตามมา ู
ภายหลังเอง”
#การพัฒนาหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางความาคิด จากสมัยก่อนและสมัยนีทั้งเรื่อง ้
ความแตกต่างทางความคิดหรือ เหมือนเดิมทุกอย่าง
: มันก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือนักศกษาสมัยนี้ชอบทํางานสมัยใหม่ ึ อะไรเป็นกระแสใหม่ๆ
มาเขาก็อยากทําหมดเลย เมื่อก่อน มีกระแสศลปะนามธรรม ิ เขาก็อยากทํานามธรรม ทั้งๆที่ไม่มี
ฐานหรือความรู้อะไรเลย หน้าที่ของอาจารย์ก็คือ ชวยทุเลาความอยากของเขาบ ้าง ่
สมัยนี้ก็เหมือนกัน รู้สกเหมือนว่า ึ Installation เข ้ามา ที่เอาอะไรมาวางๆ เขา
ก็อยากทํากัน เราก็ต ้องพูดให ้เขาเข ้าใจว่า Installation มันคืออะไร ถ ้าเธอไม่เข ้าใจ เธอก็บ ้า
ทั้งนั้น เขา ก็บอกว่า ” หนูยอมบ ้าค่ะ “ (หัวเราะ)แล ้วเราจะไปทําอะไรได ้ ขอให ้ได ้ Installation
เท่านั้น ตกก็ยอม แหม่
เพราะฉะนั้น ความสมัยใหม่นี้มันรุ่นแรงมาก เลยต ้องอธิบายให ้เขาเข ้าใจว่า
สมัยใหม่นี้มันเป็นมาอย่างไร ความคิดมาอย่างไร กระบวนการมาอย่างไร แล ้วมันสมฤทธิ์ผล ั
อย่างไร ต ้องอธิบายให ้เขา ฉันอายุขนาดนี้ยังต ้องเปิดตํารา ต ้องฟังข่าวสารศลปะทั่วโลกห ิ ยุด
ไม่ได ้ไม่อย่างนั้นไม่ทันเขาหรอก
มีนักศกษาภาพพิมพ์คนหนึ่ง พิมพ์งานออกมาวิเศษเลย ถ ้าให ้คะแนนต ้องเต็ม ึ
เลย แต่เขาจะเอาไป Installation เขาพิมพ์มา 3 รูป แล ้วเขาก็ทําโค ้งๆเอาไปแขวน เวลาลม
พัดมันจะเป็นรูป เขาภูมิใจมากเลย .... แล ้วผลงานดีเยี่ยมนั่น มันจะแสดงอย่างไร ในเมื่อลมมัน
พัดหมุนอยู่ยังนั้น (หัวเราะ) มันก็เหมือนกับกังหันตัวหนึ่งนั่นแหละ
ของที่มันดีไปทําเพิ่ม มันเพิ่มไม่แล ้ว พวกทํางานปัจจุบันนี้ก็เป็นสมัยใหม่
ขอให ้ทําด ้วยความจริงใจ
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.era.su.ac.th/Artists/thai/chalood/tend.html http://www.archives.su.ac.thartistdrawing2541chalood.pdf httpswww.facebook.comArtTheorySU
www.bacc.or.th
www.facebook.com/baccpage
http://www.facebook.comChaloodsMuralPainting
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%B1
%E0%B8%991
http://www.facebook.compagesมลู นธิ พิ ริ ยิ ะ-ไกรฤกษ์-Piriya-Krairiksh-Foundation http://www.watcharathath.com/content.php?id=200
Profile
ประวัติผู้เขียนบทความ
นาย ภาณุภณ สุขศรี เกิดวันจันทร์ ที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2526 ที่อำเภอ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย จาก โรงเรียน สาธิตจุฬาลงค์กรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2543 และ เข้าต่อในหลักสูตรศิลปบัณฑิต ที่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อพุทธศักราช 2544 โดยมีผลงานนิทรรศการศิลปะที่เข้าร่วมจัดแสดงต่างๆดังนี้
นิทรรศการศิลปะ “Establish” สถาบันปรีดี พนมยงค์ เขต ทองหล่อ กรุงเทพมหานคร
นิทรรศการศิลปะ “Trick” On Art Gallery เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
นิทรรศการศิลปะ “Re-Act” สถาบันปรีดี พนมยงค์ เขต ทองหล่อ กรุงเทพมหานคร
นิทรรศการศิลปะ "The Pancakes & Booze Art Show 2025"
อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 138/1 ซอย ปุณณวิถี 6 สุขุมวิท 101 แขวง บางจาก เขต พระโขนง กรุงเทพมหานคร 10260 โทรศัพท์ 02-332-4315,02-332-74577
PANUPON SUKHSRI
138/1 Sukhumvit 101 (Punnavithi 6)
Bangchak, Prakhanong
Bangkok 10260
e-mail:
panuponsukhsri_1983@hotmail.com panuponapiwat@gmail.com
P.S. NOON 運命の午後のメモ
Unmei no gogo no memo
จดหมายเหตุ ยามบ่าย แห่ง ปัจฉิมลิขิต
OBJECTIVE: To work in a position where I can use my educational background and skills in art
EDUCATION: BFA Visual Arts, Bangkok University, Pathumthani, 2008
WORK EXPERIENCE: Freelance Artist , 2012 - Present
๏ photographerฯ
๏ painter ฯ
๏ logo designer ฯ
๏ superflat ฯ
๏ Art Therapy ฯ
PERSONAL ATTRIBUTES: ๏ willing to learn ฯ
๏ honest ฯ
๏ responsible ฯ
๏ able to follow directions ฯ
SKILLS: ๏ proficient in Microsoft Office and Adobe ฯ